เหตุที่มนุษย์ต้องทำวิจัย ตามหลักวิชา Earl Babbie จำแนกตามวัตถุประสงค์ได้ 3 ประการ คือ
1.เพื่อศึกษาสำรวจสิ่งใหม่ที่ยังไม่เคยมีการศึกษามาก่อน (Exploration)
2.เพื่อพรรณนาเกี่ยวกับสิ่งที่มีอยู่หรือเป็นอยู่ว่า “คืออะไร” (Description) เป็นการวิจัยเพื่อที่จะรายงานหรือพรรณนาเกี่ยวกับสภาพที่เป็นอยู่จริงของปรากฎการณ์ที่ศึกษาว่า คืออะไร เช่น การทำโพลล์ เพื่อ รายงานแนวโน้มของการลงคะแนนว่าใครมีคะแนนนิยมเท่าไหร่ เป็นต้น
3. เพื่ออธิบายเหตุผลว่า “ทำไม” จึงเป็นอย่างนั้น (Explanation) เป็นการวิจัยเพื่อค้นหาความรู้และรายงาน เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งต่าง ๆ ที่ศึกษา เพื่อตอบคำถามว่าทำไมเป็นอย่างนั้น (ความสัมพันธ์ เชิงเหตุ-ผล) เช่นการวิจัยเพื่อค้นหาความรู้และรายงานว่า ทำไมเมืองบางเมืองจึงมีอัตราการเกิด อาชญากรรมสูงกว่าเมืองอื่น ๆ (เพื่ออธิบายความสัมพันธ์ เชิงเหตุ-ผลระหว่างสภาพแวดล้อมของเมือง กับอัตราการเกิดอาชญากรรม)
รูปแบบวิธีการวิจัย (Research Methods) ตามที่ท่าน รศ.เฉลิมพล ศรีหงษ์ บรรยายในห้องเรียนและคำบรรยายในหนังสือ กล่าวเป็นหลักวิชาไว้ดังนี้
การทดลอง (Experiments)
- เป็นการวัดผลกระทบของตัวแปรอิสระที่มีต่อตัวแปรตาม
-เป็นการเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างค่าของตัวแปรตามที่วัดก่อนการทดลอง(ก่อนนำตัวแปรอิสระเข้ามาใช้เป็นตัวกระตุ้นในการทดลอง) กับค่าของตัวแปรตามที่วัดหลังการทดลอง(หลังนำตัวแปรอิสระเข้ามาใช้เป็นตัวกระตุ้น) หรือ Pre test ก่อนทดลอง Prost test หลังทดลอง
-แบ่งกลุ่มตัวอย่างออกเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มทดลอง (กลุ่มที่มีการนำตัวแปรอิสระเข้าไปใช้เป็นตัวกระตุ้น) กับกลุ่มควบคุม((กลุ่มที่ไม่มีการนำตัวแปรอิสระเข้าไปใช้เป็นตัวกระตุ้น) ตามที่อาจารย์ยกตัวอย่าง การวิจัยเรื่องแสงสว่างมีผลต่อประสิทธิภาพการเย็บผ้าของคนงาน ตัวแปรอิสระคือแสงสว่าง ตัวแปรตามคือการเย็บผ้าของคนงาน โดยแบ่งคนงานเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มควบคุมไม่ไปยุ่งเกี่ยว
กลุ่มทดลองนักวิจัยมีการควบคุมแสงสว่างให้มากขึ้น และน้อยลง เพื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ไม่มีการทดลองว่าแสงสว่างส่งผลต่อประสิทธิภาพการเย็บผ้าหรือไม่
การวิจัยสำรวจ (Survey Research)
- นักวิจัยเลือกกลุ่มตัวอย่างที่จะศึกษาจากประชากรของการวิจัย
- เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน(standardized questionnaire)
วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลมี 2 วิธีใหญ่ ๆคือ
1.แบบสอบถามที่ให้ผู้ตอบเป็นผู้อ่านคำถามและกรอกคำตอบด้วยตนเอง
2. ให้นักสัมภาษณ์เป็นผู้ถามคำถามตามแบบสอบถามและจดบันทึกคำตอนตามคำบอกของผู้ตอบ
ซึ่งแบ่งเป็น สัมภาษณ์แบบเผชิญหน้า และสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์
การวิจัยเชิงสำรวจ ได้แก่ การทำโพลล์เพื่อสอบถามความคิดเห็นของประชาชนที่มีต่อเรื่องใด
เรื่องหนึ่ง เช่น การขายไข่ไก่แบบช่างกิโลว่าประชาชนเห็นด้วยหรือไม่
การวิจัยสนาม (Field Research) หรือเรียกชื่ออย่างอื่นว่าการวิจัยแบบมีส่วนร่วม(Participant observation)
- บทบาทของนักวิจัยสนามจะมีความแตกต่างกันในแง่ของการมีส่วนร่วมในสิ่งที่นักวิจัยศึกษา โดยอาจจะอยู่ในช่วงระหว่างเป็นผู้มีส่วนร่วมอย่างสมบูรณ์กับเป็นผู้สังเกตการณ์อย่างสมบูรณ์
-วิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่างที่เหมาะกับการวิจัยสนาม เช่น การสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง การสุ่มตัวอย่างแบบ Snow ball
-ในกรณีที่เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการถามคำถาม มักใช้วิธีการสัมภาษณ์แบบไม่มีโครงสร้างคือการสัมภาษณ์โดยมีแนวทางกว้าง ๆของเรื่องที่ต้องการทราบแต่ไม่มีชุดคำถามที่เฉพาะเจาะจงแน่นอนโดยทั่ว ๆไปมักเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ
กระบวนการวิจัย
จากคำบรรยายของ รศ. เฉลิมพล ศรีหงษ์ ในการทำวิจัยแต่ละโครงการนั้นมีกิจกรรมหลายอย่างที่นักวิจัยจะต้องทำอย่างต่อเนื่องเป็นกระบวนการ ซึ่งสรุปได้ดังนี้
- ความสนใจ ความคิด และทฤษฎี
นักวิจัยจะเริ่มจากมีความสนใจที่จะศึกษาเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ต่อจากนั้นจึงเริ่มสืบค้นข้อมูลโดยการอ่านหนังสือและผลงานวิจัยของผู้อื่น ที่มีเนื้อหาคล้ายคลึงหรือเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ต้องการศึกษา และอาจพูดคุยกับผู้อื่นเกี่ยวกับเรื่องนั้น เพื่อให้เกิดความคิดเกี่ยวกับตัวแปรต่าง ๆ ที่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้อง รวมทั้งได้ทราบว่าทฤษฎีอะไรบ้างที่อธิบายความสัมพันธ์อย่างเป็นเหตุเป็นผลระหว่างตัวแปรต่าง ๆ ระบุความหมายของแนวความคิดต่าง ๆ และตัวแปรต่าง ๆที่จะศึกษาอย่างเฉพาะเจาะจงชัดเจนว่าคืออะไรเลือกวิธีการวิจัยที่จะใช้ในการศึกษา ซึ่งมีหลายวิธี ได้แก่ การทดลอง การวิจัยสำรวจการวิจัยสนาม การวิจัยจากข้อมูลที่มีการบันทึกไว้แล้วโดยผู้อื่น และการวิจัยประเมินผลการกำหนดเกี่ยวกับเครื่องมือและวิธีการที่จะใช้ในการวัดข้อมูลการกำหนดว่าใครหรืออะไรคือประชาการของการวิจัย หากมีประชากรจำนวนมากไม่สามารถเลือกได้ทั้งหมด ต้องเลือกกลุ่มตัวอย่างจากประชากรโดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างเพื่อให้ได้กลุ่มตัวอย่างกลุ่มหนึ่งสำหรับใช้ในการวัดข้อมูล
- การวัดข้อมูล หมายถึงการเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงประจักษ์เพื่อนำไปใช้ในการวิเคราะห์และ แปรผล
- การประมวลผลข้อมูล หมายถึงการแปลงข้อมูลที่เก็บรวบรวมได้ ให้อยู่ในรูปแบบที่เหมาะสมจะนำไปใช้ในการแปลความหมายและวิเคราะห์
- การวิเคราะห์ หมายถึงการวิเคราะห์ข้อมูลที่เก็บรวบรวมมาได้และสรุปผลการศึกษาการเขียนรายงานผลการวิจัย เพื่อเผยแพร่ให้ผู้อื่นได้ทราบข้อค้นพบของงานวิจัย
สรุป
การวิจัยถือว่าเป็นกระบวนการค้นหาข้อเท็จจริงที่มีประโยชน์ต่อมนุษย์ทั้งด้านวิชาการ เศรษฐกิจ สังคม และอื่น ๆอย่างมากมาย ซึ่งหากกระบวนการวิจัยได้ทำตามหลักวิชาและสามารถยืนยันผลด้วยการพิสูจน์ให้แน่ชัดแล้ว ย่อมมีคุณอนันต์แก่มนุษยชาติทั้งปัจจุบันและอนาคต เช่น การวิจัยทางการแพทย์เพื่อค้นหาวิธีการรักษาโรคมะเร็ง เป็นต้น ดังนั้น รัฐบาล จึงควรสนันสนุนให้มีการวิจัย และส่งเสริมนักวิจัย เพื่อค้นคว้าหาสิ่งใหม่ ๆ เพื่อประโยชน์แก่สังคมส่วนรวมและประเทศชาติต่อไป
ให้อธิบายความหมายของคำต่อไปนี้
-Deductive Methods
-Inductive Methods
-Grounded Thory
ตำเอกสารประกอบคำบรรยายของท่าน รศ.เฉลิมพล ศรีหงษ์ อธิบายเป็นหลักวิชาดังนี้
Deductive Methods คือการวิจัยที่ใช้วิธีเชิงตรรกะแบบนิรนัย เหมาะกับการวิจัยเชิงปริมาณ จะเริ่มต้นศึกษาโดยใช้แบบแผนอย่างใดอย่างหนึ่งของความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งต่าง ๆตามที่คาดหวังในเชิงทฤษฎีเป็นกรอบแนวคิดในการศึกษา จากนั้นจึงทำการสังเกตหรือวัดข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างหรือกรณีศึกษาเฉพาะ เพื่อทดสอบว่าแบบแผนของความสัมพันธ์ตามที่คาดหวังในเชิงทฤษฎีนั้นเป็นจริงหรือไม่
การวิจัยโดยใช้วิธีการเชิงตรรกะแบบนิรนัย (Deductive Methods) จึงเป็นการเริ่มต้นจากสิ่งที่เป็นหลักทั่วไปไปสู่การศึกษาเฉพาะกรณี มี 3 ขั้นตอนคือ
1.ตั้งสมมุติฐาน โดยอาศัยทฤษฎีที่เกี่ยวข้องเป็นกรอบในการเลือกระบุตัวแปรที่ต้องการศึกษาอย่างเฉพาะเจาะจง
2. การวัดข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างหรือกรณีศึกษา
3. การนำข้อมูลที่วัดได้มาทดสอบสมมุติฐานที่ตั้งไว้ โดยใช้วิธีการทางสถิติเพื่อสรุปว่ายอมรับหรือปฏิเสธสมมุติฐาน
Deductive Methods
Inductive Methods คือการวิจัยที่ใช้วิธีเชิงตรรกะแบบอุปนัย เหมาะกับการวิจัยเชิงคุณภาพ เริ่มต้นจากข้อมูลที่สังเกตหรือวัดข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์ หรือปรกกฎการณ์ที่ต้องการศึกษาจากกรณีศึกษาหนึ่ง ๆ เมื่อได้ข้อมูลมาแล้วก็วิเคราะห์เพื่อค้นหาแบบแผนของความสัมพันธ์ที่สามารถอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งต่าง ๆ ที่ศึกษานั้น ข้อค้นพบดังกล่าวจะพัฒนาไปสู่การกำหนดเป็นหลักทั่วไปในอนาคต
การวิจัยโดยใช้วิธีการเชิงตรรกะแบบอุปนัย (Inductive Methods) จึงเป็นการเริ่มต้นจากข้อมูลที่สังเกตหรือวัดได้จริงจากรณีศึกษา เพื่อที่จะพัฒนาไปสู่การกำหนดเป็นหลักทั่วไป หรือการเริ่มจากข้อเท็จจริงไปสู่ทฤษฎี มี 3 ขั้นตอนคือ
- การวัดข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ต้องการศึกษาจากกรณีศึกษาหนึ่ง ๆ
- การค้นหาแบบแผนความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งต่าง ๆ ของเหตุการณ์ที่ศึกษา
- การสรุปผลการศึกษา ซึ่งถือว่าเป็นเพียงข้อสรุปชั่วคราวของเหตุการณ์ที่ศึกษา ข้อสรุปชั่วคราวเกี่ยวกับเหตุการณ์อย่างเดียวกันจากกรณีศึกษาหลาย ๆกรณีจะพัฒนาไปสู่การกำหนดเป็นหลักทั่วไปในอนาคต
Inductive Methods
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น