- การบริหารและการปกครอง (Governance) ที่ก้าวพ้นการมุ่งสร้างประสิทธิภาพในการบริหารด้วยวิธีคิดเรื่องวิทยาศาสตร์การบริหารจัดการ
- ไม่ลุ่มหลงกับการสร้างทฤษฎีหรือตัวแบบขนาดใหญ่ ที่มีลักษณะสากล (Grand Theory)
- ออกห่างจากสำนักพฤติกรรมศาสตร์ ซึ่งพยายามหาทฤษฎีทั่วไป มาสู่ปรากฏการณ์วิทยา (Truth vs truth(s))
ปรัชญาพื้นฐานและความสำคัญของการวิจัย
ความแตกต่างของการแสวงหาความรู้ 2 แนวทาง
1. แนวคิดแบบปฏิฐานนิยม Positivism) เป็นฐานคิดของวิจัยเชิงปริมาณ
2. แนวคิดแบบปรากฏการณ์นิยม Phenomenology เป็นฐานคิดของการวิจัยเชิงคุณภาพ
แนวคิดแบบปฏิฐานนิยม Positivism)
- การใช้วิธีแสวงหาความรู้แบบวิทยาศาสตร์ ธรรมชาติ มีพื้นฐานจากวิทยาศาสตร์
- เน้นการแสวงหาความรู้เชิงประจักษ์ หรือจากพฤติกรรม
- เน้นข้อมูลที่แจงนับได้และวัดได้ หรือวิธีการเชิงปริมาณ
การกำหนดกรอบในการศึกษาโดยอาศัยตัวแบบในการนำนโยบายไปปฏิบัติ
ตัวแปรอิสระ | ตัวแปรตาม | ผล |
1. คน 2. เงิน 3. วัสดุอุปกรณ์ 4. การจัดการ | ผลของการนำ นโยบายไปปฏิบัติ | สำเร็จ ไม่สำเร็จ |
ตัวแปรอิสระ | ตัวแปรตาม |
ภาวะผู้นำ การจูงใจ/ขวัญกำลังใจ การมีส่วนร่วม การทำงานเป็นทีม | ผลของการนำ นโยบายไปปฏิบัติ |
แนวคิดแบบปรากฏการณ์นิยม Phenomenology
1. พื้นฐานความรู้มาจากมานุษยวิทยา
2. พฤติกรรมมนุษย์เป็นผลมาจากที่มนุษย์ให้ความหมาย (meanings)
3. ให้ความสำคัญแก่ข้อมูลที่เป็นความรู้สึกนึกคิด
4. ความรู้ทางสังคมศาสตร์ คือ การศึกษาความหมายที่มนุษย์ให้ต่อสิ่งรอบตัว
5. การศึกษาในฐานะของการเป็น “คนใน” vs การศึกษาแบบ “คนนอก” (เครื่องมือที่เป็นปรนัย)
ลักษณะของงานวิจัยเชิงคุณภาพ
- เน้นการมองปรากฏการณ์ให้เห็นภาพรวมและบริบท
- เป็นการศึกษาติดตามระยะยาวและเจาะลึก vs การศึกษาแบบตัดขวาง(ของวิธีการเชิงปริมาณ)
- ศึกษาปรากฏการณ์จริง(วิธีการศึกษาที่เป็นธรรมชาติ) vs การศึกษาในห้องวิจัย
- คำนึงถึงความเป็นมนุษย์ของผู้ถูกวิจัย vs การมองแบบวัตถุ
- ความหมายในทัศนะของผู้ถูกศึกษา (emic view) vs ความหมายของนักวิจัยหรือผู้ศึกษา (etic view)
- ใช้การพรรณนาและการวิเคราะห์แบบอุปนัย Inductive vs วิธีแบบนิรนัย (Deductive)
- (วิธีการศึกษาที่เป็นธรรมชาติ คือการเอาตนเองเป็นเครื่องมือสำคัญในการเก็บข้อมูล)
วิธีแบบนิรนัย (Deductive)หรืออนุมาน
- เริ่มต้นจากการตั้งสมมติฐานหรือทฤษฎีที่ตั้งขึ้นหรือมีอยู่ก่อน
- อาศัยทฤษฎีหรือสมมติฐานเป็นกรอบในการเก็บข้อมูล
- การเก็บข้อมูลเป็นไปเพื่อตรวจสอบความถูกต้องของสมมติฐาน
- เป็นการมองจากกฎเกณฑ์ สมมติฐาน หรือทฤษฎีอันเป็นจุดเล็กไปสู่สิ่งที่กว้างออกไป คือปรากฏการณ์ที่เป็นจริง
- มองจากช่องเล็กจากก้นกรวยที่กว้างออกไปสู่ปากกรวย
(ตัวอย่างภาพหน้า 56)
วิธีการแบบอุปนัย(อุปมาน) Inductive
- เริ่มต้นจากปรากฏการณ์หรือข้อเท็จจริง ข้อมูล ตามที่มีอยู่หรือเป็นอยู่มาก่อน
- รวบรวมข้อมูลจนเพียงพอแล้วจึงหาข้อสรุป สมมติฐาน หรือทฤษฎีเพื่อหาข้อสรุปทั่วไป
- เป็นการมองจากปากกรวย คือ ข้อเท็จจริงทางสังคม มาสู่ก้นกรวยซึ่งเป็นข้อสรุปที่มีจุดเล็ก
- มีลักษณะเป็นทฤษฎีติดดิน(Grounded Theory)
คำเรียกการวิจัยเชิงคุณภาพ
- Qualitative Research
- การวิจัยเกี่ยวข้องกัยคุณภาพ(ตาราชบัณฑิตสถาน)
- การวิจัยเชิงคุณภาพ(ตามความนิยม)
- การวิจัยเชิงคุณลักษณะ
- Ethnographic Research การวิจัยชาติพันธุ์วรรณนา
- Field Research การวิจัยภาคสนาม
- Anthropological Research
- Phenomenological Research
เมื่อใดควรใช้งานวิจัยเชิงปริมาณหรือเชิงคุณภาพ ข้อสังเกตจากประสบการณ์ทำวิจัย
1. การวิจัยที่ต้องการพยากรณ์ ทำนาย พฤติกรรมของบุคคลในกลุ่มประชากรขนาดใหญ่ และต้องการหาข้อมูลทั่วไป จำเป็นต้องใช้ข้อมูลเชิงปริมาณ เช่นการสำรวจประชามติ การเลือกตั้ง
2. เมื่อต้องการเข้าใจความหมายในระดับลึกซึ้งของปรากฏการณ์
3. การวิจัยประวัติศาสตร์ที่ไม่สามารถอาศัยวิธีการศึกษาเชิงปริมาณได้ จำเป็นต้องใช้วิธีวิจัยเชิงคุณภาพ
4. ศึกษาสังคมที่มีข้อจำกัดในการใช้ภาษา เช่น การศึกษาชนเผ่า
5. งานศึกษาที่ไม่มีกรอบแนวคิดชี้นำมาก่อน หรือเป็นการศึกษาเพื่อสร้างข้อสรุปใหม่ๆ ในทางวิชาการ จำเป็นต้องศึกษาด้วยวิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ เพื่อสร้างข้อสรุปในลักษณะของทฤษฎีติดดิน (Grounded Theory)
ข้อควรระวัง
· ต้องตระหนักว่าการวิจัยเชิงคุณภาพมีลักษณะเป็นกรณีศึกษา ไม่สามารถอนุมานไปสู่ข้อสรุปทั่วไปได้ (Overgeneralization) ตรงนี้เป็นความเชื่อมต่อระหว่างการวิจัยเชิงปริมาณหากจะหาข้อสรุปทั่วไป
· ต้องตระหนักว่า ผู้วิจัยคือ เครื่องมือศึกษา นำมาสู่ปัญหาความเอาจริงเอาจังของผู้ศึกษา
· ปัญหาเรื่องความน่าเชื่อถือของข้อมูล นำมาสู่ปัญหาจริยธรรมของนักวิจัย
ความเป็นมาของการวิจัยเชิงคุณภาพ
· กำเนิด และพัฒนาการมาจากมานุษยวิทยา
· ยุคแรกมีลักษณะเป็น Armchair Scholar
· งานบุกเบิกของ บอนิสลอ มาลินอสกี (Bronislaw Malinoski) “Argonaut of the Western”ศึกษาภาคสนามที่หมู่เกาะโทรเบียน
· งารนศึกษาของ แรคคริฟ-บราวน์ (A.R>Radcliffe-Brown) เรื่อง “The Andaman Islanders”
· งานศึกษาของ Margaret Mead
งานวิจัยเชิงคุณภาพของไทย
· ยุคบุกเบิก
· พระยาอนุมานราชธน
· กรมพระยาดำรงราชานุภาพ
· ยุคนักมานุษยวิทยารุ่นแรก(ทศวรรษ 1960)
· อคิน รพีพัฒน์ ,สุเทพ สุนทรเภสัช
· ยุคการพัฒนาแบบมีส่วนร่วมช่วงต้นทศวรรษ 1980 กระแสวัฒนธรรมชุมชน กระแสชุมชนนิยม(งานเรื่องป่าชุมชน ไร่หมุนเวียนฯลฯ)
ตัวอย่างงานวิจัยเชิงคุณภาพ
· อคิน รพีพัฒน์ “ชีวิตและจุดจบของสลัมแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร”
· ศุลีมาน นฤมล “นางงานในตู้กระจก”
· ประภาส ปิ่นตบแต่ง “การเมืองบนท้องถนนฯ”
ตัวอย่างหัวข้อวิจัย(อย่างง่าย)
• การนิยาม และสร้างตัวชี้วัดตัวแปรอิสระและตัวแปรตาม
-ระดับการหนุนเสริม คือ ปริมาณงบประมาณและการช่วยของเจ้าหน้ารัฐที่ลงไปในชุมชน
-ระดับความเข้มแข็งของชุมชน คือ การมีกลุ่มองค์กรเดิมที่ทำกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง
-ระดับรายได้ หมายถึง ปริมาณรายได้ที่เพิ่มขึ้นกว่าแต่เดิมมากกว่า ร้อยละ 30
• วิธีการเก็บข้อมูล
-จะใช้วิธีการวิจัยเชิงปริมาณหรือเชิงคุณภาพ
-หากเลือกวิธีการเชิงปริมาณ
-ประชากรและกลุ่มตัวอย่างจะได้มาอย่างไร
-การสร้างเครื่องมือ แบบสอบถาม และการทดสอบความน่าเชื่อถือ
-การวางแผนการเก็บข้อมูล
-การวิเคราะห์ข้อมูล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ฯลฯ
• ก่อนการเก็บข้อมูล
– การเตรียมตัวทำงานภาคสนาม
– ทฤษฎี กรอบแนวคิดกับงานวิจัยเชิงคุณภาพ
วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ
– การสังเกต
– การสัมภาษณ์
– การเก็บข้อมูลด้วยวิธีการจัดกลุ่มเสวนา
– การใช้แหล่งข้อมูลเอกสาร
การเตรียมตัวทำงานภาคสนาม
1.การเลือกสนาม
- การเตรียมตัวเข้าสนาม, อุปกรณ์วิจัย, การแต่งกาย, อาหารการกิน ที่พัก ฯลฯ)
2.การวางแผนการเก็บข้อมูล (การเลือกผู้ให้ข้อมูลสำคัญ (key informants) สังเกต ฯลฯ)
3. การแนะนำตัวต่อชุมชน หรือหน่วยงาน/องค์กร
4.การสร้างความสัมพันธ์ผู้คนที่อยู่ในสนามหรือปรากฏการณ์ ฯลฯ
งานวิจัยเชิงคุณภาพกับทฤษฎีและกรอบแนวคิด
งานวิจัยเชิงคุณภาพไม่จำเป็นต้องมีทฤษฎีจริงหรือ?
-ต้องสำรวจกรอบแนวคิดทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างกว้างขวางเพื่อนำมาช่วยในการตั้งคำถาม
-ต้องใช้ทฤษฎีเป็นแผนที่ในการศึกษา โดยสร้างสมมติฐานชั่วคราว
-ตรวจสอบข้อมูลกับกรอบแนวคิดกลับไปกลับมาระหว่างการเก็บข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูล
เทคนิคการวิจัยเชิงคุณภาพ
การสังเกต -ความหมายและความสำคัญของการสังเกต
-ประเภทของการสังเกต (การสังเกตแบบมีส่วนร่วม แบบไม่มีส่วนร่วม)
-ปัญหาของการสังเกต
-ข้อได้เปรียบและข้อเสียเปรียบของการสังเกต
-ตัวอย่างงานศึกษาด้วยการสังเกต
การสังเกต (observation)
• การสังเกต คือ
“การเฝ้าดูอย่างเอาใจใส่ สังเกตสิ่งที่กำหนดไว้ และพิจารณาอย่างมีระเบียบ และเป็นการเฝ้าดูแลสิ่งที่ปรากฏขึ้น เพื่อหาความสัมพันธ์ของสิ่งที่เกิดขึ้น หรือหาว่าสิ่งใดเป็นเหตุ เป็นผลของปรากฏการณ์ดังกล่าว”
ประเภทของการสังเกต
1.การสังเกตแบบมีส่วนร่วม คือ การนำตัวนักวิจัยเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของปรากการณ์ (เช่น การเข้าไปอยู่ในชุมชนที่เราศึกษา เป็นส่วนหนึ่งของขบวนการเคลื่อนไหว ฯลฯ)
2.การสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม คือ นักวิจัยไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของปรากฏการณ์ (เช่น แพทย์สังเกตอาการคนไข้จากยาที่ทดลอง ฯลฯ)
สิ่งที่ต้องทำในใช้วิธีการสังเกต
• การสำรวจกรอบแนวคิดทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำมากำหนดเป็นสมมติฐานชั่วคราว
• การจดบันทึกข้อมูลภาคสนามอย่างละเอียด
• การวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการสังเกต
• การเก็บข้อมูลด้วยการสังเกตเพิ่มเติม หรือตรวจสอบข้อมูลด้วยวิธีการอื่น
ข้อได้เปรียบของการใช้วิธีการสังเกต
1.ได้ข้อมูลที่ผู้ถูกศึกษาไม่ได้บอกให้ฟัง
2.ได้ข้อมูลที่ผู้ถูกศึกษาไม่อยากเล่าให้ฟัง
3.ได้หลักฐานเพิ่มเติมจากการเก็บข้อมูลด้วยวิธีการอื่น เช่น การสัมภาษณ์
4.ได้ข้อมูลทันทีโดยไม่ต้องผ่านการบอกเล่า
ข้อเสียเปรียบหรือควรระวัง
1.ไม่สามารถใช้ได้กับปรากฏการณ์ทางสังคมที่ไม่เกิดขึ้นในระยะเวลาที่ศึกษา (เช่น การปฏิวัติ การเลือกตั้ง พิธีบรมราชาภิเษก ฯลฯ)
2.ไม่สามารถศึกษาข้อมูลที่เป็นเรื่องต้องห้าม เช่น เรื่องส่วนตัว พิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ ฯลฯ)
3.ไม่สามารถได้ข้อมูลครบถ้วนทุกแง่มุม เพราะผู้สังเกตไม่สามารถอยู่ในทุกแง่มุมของเหตุการณ์ได้
การสัมภาษณ์
ประเภทของการสัมภาษณ์
1.การสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง (สำหรับการวิจัยเชิงปริมาณ)
2.การสัมภาษณ์สำหรับการวิจัยเชิงคุณภาพ : การสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ
• การสัมภาษณ์แบบเปิดกว้างไม่จำกัดคำตอบ
• การสัมภาษณ์แบบมีจุดความสนใจเฉพาะ หรือการสัมภาษณ์แบบเจาะลึก
ผู้ให้สัมภาษณ์ (Interviewee)
• ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ (Key Informant) คือใคร
-เป็นผู้ที่มีความรู้ หรือมีประสบการณ์ในเรื่องที่ศึกษา “รู้เรื่องรู้ราว”
-มีความเต็มใจที่จะพูดคุยด้วย
-ต้องมีความหลากหลายของผู้ให้ข้อมูลสำคัญ
-เลือกอย่างเจาะจงโดยคำนึงถึงจุดมุ่งหมายของการวิจัย
ขั้นตอนของการสัมภาษณ์
• การเตรียมสัมภาษณ์
-การวางแผนสัมภาษณ์คำถาม ข้อมูลพื้นฐานของผู้ถูกสัมภาษณ์ อุปกรณ์จดบันทึก การนัดหมาย ฯลฯ)
• ขั้นตอนการสัมภาษณ์
-แนะนำตัว การสร้างบรรยากาศเป็นกันเอง การบอกวัตถุประสงค์ ตรงไปตรงมากับผู้ให้สัมภาษณ์ เช่น ถ้าอัดเทปต้องบอกล่วงหน้า ฯลฯ
สิ่งที่ควรคำนึงในการสัมภาษณ์
• ถามคำถามแบบเปิดกว้างเสมือนหนึ่งผู้วิจัยไม่มีความรู้ในเรื่องที่สัมภาษณ์
• ทำการบ้านก่อนที่จะสัมภาษณ์ /เตรียมความพื้นฐานเกี่ยวกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ
• การเตรียมแนวคำถามเอาไว้เพื่อเป็นแผนที่ในการซักถาม
-แนวคำถามเหมือนแผนที่ในการขับรถ เพื่อไปถึงจุดหมาย
เทคนิคการสัมภาษณ์
-การแนะนำตัว
-การเลือกสถานที่สัมภาษณ์
-การบันทึกคำตอบ
-ภาษาที่ใช้ในการสัมภาษณ์ มนุษยสัมพันธ์
-จรรยาบรรณในการสัมภาษณ์
-แบบสอบถามและการตั้งคำถาม
ข้อดีข้อเสียของการสัมภาษณ์
ข้อดี
1. สามารถใช้กับคนทุกระดับการศึกษา
2.ช่วยแก้ปัญหาในการได้รับแบบสอบถามคืนน้อย
3.สามารถเข้าใจถึงความรู้สึกนึกคิด ของผู้ให้สัมภาษณ์ได้ระดับหนึ่งฯลฯ
ปัญหาในการสัมภาษณ์
1.เปลืองค่าใช้จ่ายค่อนข้างมาก
2.ความน่าเชื่อถือของข้อมูลจะขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้สัมภาษณ์ และความเต็มใจของผู้ถูกสัมภาษณ์ (เช่น กรณีการวิจัยเรื่องการขายบริการ การซื้อเสียงเลือกตั้ง การทุจริตคอรัปชัน ฯลฯ)
กลุ่มเสวนา(Focus Group)
Focus Group Check List
-Topic
-Discussion Guide
-Personnel: Moderator/Note Taking/Manager
-Site of Group Discussion
-Tape Recorder
-Discussion Aids (Snacks)
-Participants
-Gifts
Before the Session
• Theory & Literatures
• Discussion Guide
• Pretest the Discussion Guide and Moderator Orientation
• Contacting Community & Appointment
After the Session
• Tape & Note transcripts
• Transcripts Reading & Data Analysis
• Changing Participants & Site
• Individual Interview for More Information
• Report Writing
แหล่งข้อมูลเอกสาร
• มีเอกสารอะไรบ้างที่เกี่ยวข้อง สำคัญงานวิจัยที่ทำ
-เอกสารชั้นต้น (แผนงาน/โครงการ รายงานผลการดำเนินงาน รายงานการประเมินผล ฯลฯ)
-ข้อมูลตัวเลข สถิติที่เกี่ยวข้อง
-งานวิจัย บทความ บทสัมภาษณ์ ฯลฯ ที่เกี่ยวข้องฯลฯ
• ตัวอย่างการวิจัยโดยใช้แห่งเอกสาร
การตรวจสอบและการวิเคราะห์ข้อมูลการตรวจสอบความน่าเชื่อถือของวิจัยเชิงคุณภาพ
ความแตกต่างกับงานวิจัยเชิงปริมาณ
• งานวิจัยเชิงปริมาณใช้สถิติตรวจสอบความน่าเชื่อถือของข้อมูล
-การสุ่มตัวอย่างเพื่ออนุมานไปสู่ข้อสรุปของประชากร
-การตรวจสอบความน่าเชื่อถือด้วยการสร้างเครื่องมือการวิจัย เช่น การวัดความตรง ความเที่ยง ฯลฯ
ความน่าเชื่อถือของงานวิจัยเชิงคุณภาพ
1. การระบุวิธีการศึกษาอย่างละเอียดเพื่อให้เห็นถึง:
-ที่มาของแหล่งข้อมูล/วิธีการเก็บข้อมูลที่หลากหลาย รอบด้าน
-การอยู่ในสนามที่มีเวลายาวนานมากพอที่จะสะท้อนความเป็น “คนใน”
• ดูตัวอย่าง งานวิจัยเรื่อง “นางงามตู้กระจก” “ชีวิตและจุดจบสลัมแห่งหนึ่ง” “การเมืองบนท้องถนนฯ” ฯลฯ
2. การพรรณนานาข้อมูลอย่างละละเอียด ทุกแง่ทุกมุมของปรากฏการณ์ที่ศึกษา
-เพื่อทำให้ผู้อ่านเห็นถึงหลักฐาน ข้อมูล ที่ใช้ในการสร้างข้อสรุปที่มีเหตุผลสนับสนุนที่เพียงพอ
3. การตรวจสอบความน่าเชื่อถือของข้อมูล : การตรวจสอบข้อมูลสามเส้า (data triangulation)
• การตรวจสอบด้านเวลา สถานที่ และบุคคลผู้ให้ข้อมูลที่แตกต่างกัน
• การตรวจสอบสามเส้าด้านผู้วิจัย (ตรวจสอบโดยการเปลี่ยนตัวผู้เก็บข้อมูล)
• การตรวจสอบสามเส้าด้านวิธีการรวบรวมข้อมูล (methodological triangulation) (สัมภาษณ์ สังเกต เอกสาร ฯลฯ)
• วัตถุประสงคือ การตอบโจทย์ คำถามวิจัย (วัตถุประสงค์ของการวิจัย)
• ควรกำหนดเค้าโครงการวิเคราะห์ข้อมูล ตามวัตถุประสงค์
วิธีการวิเคราะห์ข้อมูล
1.วางเค้าโครงการวิเคราะห์โดยกำหนดตามประเด็นย่อยๆ ในวัตถุประสงค์
2. การพรรณนาข้อมูลอย่างละเอียด โดยอาศัยหลักฐานจากการสัมภาษณ์ การสังเกต เอกสาร ฯลฯ
3.การสร้างข้อสรุปจากการพรรณนาข้อมูลโดยอาศัยการวิเคราะห์เชื่อมโยงตรรกะ เหตุผล และการอ้างอิงแหล่งข้อมูลที่ได้จากการศึกษา รวมทั้งอาศัยกรอบแนวคิดทฤษฎี/งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
การวิเคราะห์และการนำเสนอข้อมูล(บทที่ 4)
· วัตถุประสงค์ของการนำเสนอคือ การตอบคำถามวิจัย /วัตถุประสงค์ของงานวิจัย
· เค้าโครงการนำเสนอข้อมูล : ควรกำหนดตามประเด็นในวัตถุประสงค์
วิธีการนำเสนอ
· การพรรณนาข้อมูลอย่างละเอียดในประเด็นที่วิเคราะห์ ระบุแหล่งที่มาข้อมูล/การอ้างอิงแหล่งข้อมูล บุคคลที่ให้ข้อมูลที่หลากหลาย ฯลฯ
· การสร้างข้อสรุปจากข้อมูล หลักฐานที่ได้จากการพรรณนาเพื่อตอบโจทย์/คำถามวิจัย
· (ดูตัวอย่างงานวิจัยต่างๆ)
บทที่ 5 บทสรุปและข้อเสนอแนะ
· ทบทวนโจทย์คำถามวิจัย
· สรุปข้อค้นพบตามวัตถุประสงค์เป็นข้อๆ หรือประเด็นๆ
· การอภิปรายผล
· ข้อเสนอแนะ
การอภิปรายผล
· การวิเคราะห์ อธิบายข้อค้นพบเพื่อหาสาเหตุ ที่มาของปรากฏการณ์ที่ค้นพบ
· การถกเถียงข้อค้นพบกับงานวิจัยชิ้นอื่นๆ ที่ทำมาก่อนว่า มีข้อค้นพบที่เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร
· การถกเถียงในเชิงกรอบแนวคิด ทฤษฎี
ข้อเสนอแนะ
· ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและเชิงปฏิบัติการ
· ข้อเสนอแนะสำหรับงานวิจัยครั้งต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น