วันเสาร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

PA 702 ระเบียบวิธีวิจัยทางรัฐประศาสนศาสตร์ ผศ.ประภาส ปิ่นตบแต่ง (ต่อ)

ความแตกต่างของงานวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ

 ข้อแตกต่าง
การวิจัยเชิงปริมาณ
การวิจัยเชิงคุณภาพ
แ น ว คิ ด พื้ น ฐ า น / ปรัชญาพื้นฐาน

ปฏิฐานนิยม (Positivism) เป็นแนวคิดที่มี พื้นฐานแบบวิทยาศาสตร์นักปฏิฐานนิยม เชื่อ ว่าวิธีการแสวงหาความรู้ที่ดีที่สุดคือการใช้ วิธี แบบวิทยาศาสตร์ที่มีรากฐานอยู่บนข้อมูลเชิง ประจักษ์ กล่าวคือ สิ่งที่มนุษย์สามารถรับรู้ได้ ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 5 เป็นสิ่งที่เป็นจริงและ เป็นความรู้ที่ยอมรับได้ ดังนั้นเมื่อนำ แนวความคิดปฏิฐานนิยมมาใช้ในสาขา สังคมศาสตร์จะเน้นวิธีการแสวงหาความรู้จาก ข้อมูลเชิงประจักษ์เน้นข้อมูลที่แจงนับและวัด ได้ ดังนั้นการวิจัยที่มีพื้นฐานความเชื่อแบบปฏิ ฐานนิยม จะเน้นวิธีการเชิงปริมาณ
ปรา กฏก ารณ์นิยม(Phenomenology) เชื่อว่า ความรู้ที่มนุษย์ได้รับการถ่ายทอดจากผู้อื่นและสังคม อาจผิดพลาดได้ ความรู้อาจเกิดจากการถูกบังคับ หรือยัดเหยียด มนุษย์ควรศึกษาโลกและสังคมด้วย ตัวของตัวเอง และสร้างระบบความรู้ ที่เป็นส่วนตัว ขึ้นมาจากมนุษย์จะมีระบบความคิดวิจารณญาณ โลกทัศน์ ความหมาย วัฒนธรรม ค่านิยม อุดมการณ์ เฉพาะตน โดยการได้สัมผัสกับโลกโดยตรง นัก ปรากฏการณ์นิยมจะให้ความสำคัญกับข้อมูลที่เป็น ความรู้สึกนึกคิดและคุณค่าของมนุษย์ โดยเฉพาะ อย่างยิ่งความหมายที่มนุษย์ให้ต่อสิ่งต่าง ๆ รอบตัว นักปรากฏการณ์นิยมจะใช้วิธีสลัดความคิดเดิม ใช้ ความหมาย ระบบความคิด ความรู้สึกของผู้ให้ข้อมูล อธิบายพฤติกรรมของเขา ดังนั้นการวิจัยที่มีพื้นฐาน ความเชื่อแบบปรากฏการณ์นิยมจะเน้นวิธีการเชิง คุณภาพ
คำจำกัดความ

ก า ร วิ จั ย เ ชิ ง ป ริ ม า ณ ( Quantitative Research) เป็นวิธีค้นหาความรู้และความจริง โดยเน้นที่ข้อมูลเชิงตัวเลข การวิจัยเชิงปริมาณ จะพยายามออกแบบวิธีการวิจัยให้มีการ ควบคุมตัวแปรที่ศึกษาต้องจัดเตรียมเครื่องมือ รวบรวมข้อมูลให้มีคุณภาพ จัดกระทำ สถานการณ์ที่เกี่ยวข้องให้เป็นมาตรฐาน และ ใช้วิธีการทางสถิติช่วยวิเคราะห์และประมวล ข้อสรุปเพื่อให้เกิดความคลาดเคลื่อน (Error) น้อยที่สุด
การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) หรือ ที่บางท่านเรียกว่า การวิจัยเชิงคุณลักษณะ ดร. สุภางค์ จันทร์วานิช (๒๕๒๒ : ๑๙-๒๑) ให้ ความหมายว่า การวิจัยเชิงคุณลักษณะ เป็นวิธีค้นหา ความจริงจากเหตุการณ์ และสภาพแวดล้อมที่มีอยู่ ตามความเป็นจริง โดยพยายามวิเคราะห์ ความสัมพันธ์ของเหตุการณ์กับสภาพแวดล้อม เพื่อให้เกิดความเข้าใจอย่างถ่องแท้ (Insight) จาก ภาพรวมของหลายมิติ ความหมายนี้จึงตรงกับ ค ว า ม ห ม า ย ข อ ง ก า ร วิ จั ย เ ชิ ง ธ ร ร ม ช า ติ (Naturalistic Research) ซึ่งปล่อยให้สภาพทุกอย่าง อยู่ในธรรมชาติ ไม่มีการจัดกระทำ (Manipulate) สิ่ง ที่เกี่ยวข้องใดๆเลย
วัตถุประสงค์

-         มุ่งวิเคราะห์หาความสัมพันธ์ระหว่างตัว แปรอิสระกับตัวแปรตาม
-         Grand Theory

-         ต้องการเข้าใจความหมาย กระบวนการ ความรู้สึกนึกคิดโดยเชื่อมโยงกับบริบทของ สังคม
-         truths, Grounded Theory  
การกำหนดสมมุติฐาน

กำหนดขึ้นก่อนเก็บข้อมูล และนำข้อมูลที่ รวบรวมได้มาพิสูจน์สมมติฐานที่ตั้งไว้
เป็นนามธรรม อ้างทฤษฎี

ไม่ได้กำหนดไว้ก่อน แต่เป็นการมุ่งแสวงหา สมมติฐานเป็นกรอบในการวิจัย โดยเป็นการ เก็บรวบรวมข้อมูลมาเพื่อทำการสรุป
กำหนดคร่าวๆพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงตาม สถานการณ์
เป็นรูปธรรม
การคัดเลือกตัวอย่าง

สุ่มโดยอาศัยการสุ่มชนิดที่ทราบโอกาส ห รื อ ค ว า ม น่ า จ ะ เ ป็ น ที่ ถู ก เ ลื อ ก (Probability) เช่น Simple random sampling, Stratified random sampling
สุ่มโดยอาศัยการสุ่มชนิดที่ไม่ทราบโอกาสหรือ ความน่าจะเป็นที่จะถูกเลือกเป็นตัวอย่าง(Nonprobability sampling) แต่เป็นการเลือกกลุ่ม ตัวอย่างขึ้นมาศึกษา  
จำนวนตัวอย่าง
จำนวนมาก
จำนวนน้อย
ขอบเขตการวิจัย

ศึกษาในวงกว้าง โดยเลือกเฉพาะกลุ่ม ตัวอย่างที่สุ่มมา
ศึกษาแนวลึกเฉพาะกลุ่มที่สนใจ

ระเบียบวิธีการศึกษา

ใช้วิธีนิรนัย (Deductive) คือ การวิจัยที่ มีเป้าหมายที่ต้องการจะทดสอบทฤษฎี ทำวิจัยทดสอบทฤษฎีที่มีอยู่แล้วว่าใช้ได้ ต่อไปหรือไม่ โดยใช้การวิจัยเป็นเครื่องมือ
เริ่มต้นจากทฤษฏีและสมมุติฐาน
จัดการและควบคุมวารอย่างเข้มงวด
ใช้เครื่องมือที่เป็นทางการ
แสวงหาจุดร่วมหรือบรรทัดฐาน
ลดรูปข้อมูลไปสู่ตัวเลขและเน้นการใช้ สถิติ
ใช้ภาษานามธรรมในการเขียนอธิบาย

ใช้วิธีอุปนัย (Inductive) VS วิธีนิรนัย (Deductive) คือ การวิจัยเพื่อจะพัฒนาทฤษฎี ใหม่ สร้างองค์กรความรู้ใหม่ สร้างสิ่งใหม่ๆ ขึ้นมาเพื่อที่จะแก้ไขทฤษฎีที่มีอยู่เดิมๆ พร้อมกับ ทดสอบทฤษฎีที่มีอยู่แล้วไปพร้อมๆ กัน
จบการศึกษาลงโดยการตั้งสมมุติฐานและการ สร้างทฤษฏีระดับเบื้องต้น
ไม่เน้นการควบคุมและมีลักษณะเชิงอธิบาย ความ
แสวงหาแบบแผนของความเป็นจริง
แสวงหาพหุลักษณะและความซับซ้อน
ใช้สถิติเพียงส่วนน้อย
ใช้การเขียนเชิงพรรณนาความ
บทบาทของผู้วิจัย

แยกผู้วิจัยออกจากเรื่องที่ศึกษา โดยมีความ เชื่อว่าในการทำวิจัยนั้นผู้วิจัยจะต้องเป็นอิสระ จากสิ่งที่กำลังวิจัย พยายามทำตนเป็นกลาง ปราศ อคติ และค่านิยม มีความเป็นปรนัยสูง ไม่ให้ความสำคัญในเชิงคุณค่าของสิ่งที่ทำวิจัย แต่พยายามทำวิจัยให้ดีที่สุด เปรียบเสมือนคนนอกคือ ผู้วิจัยไม่จำเป็นต้องไปศึกษา ข้อมูลเอง ให้ใครเข้าไปศึกษาแทนก็ได้
ผู้วิจัยเป็นเครื่องมือในการทำวิจัย โดยมีความเชื่อว่า นักวิจัยที่ดีควรมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งที่ตนทำวิจัย เพื่อ เข้าใจในสิ่งที่ศึกษาได้อย่างชัดเจนมากขึ้น โดยยึด คุณค่าของสิ่งที่วิจัยเป็นหลักในการดำเนินการวิจัย เปรียบเสมือนคนในคือ ผู้วิจัยลงไปคลุกคลีกับ แหล่งข้อมูลจนเกิดความรู้สึกเห็นอกเห็นใจ ลำเอียง จนไม่สามารถแบ่งแยกข้อมูลได้ว่าอะไรถูกอะไรผิด
ขั้นตอนการวิจัย

1. เลือกเรื่องการวิจัย 2. กำหนดประเด็นปัญหาย่อย 3. ตั้งสมมุติฐาน 4. ออกแบบการวิจัย 5. รวบรวมข้อมูล 6. วิเคราะห์ข้อมูลและแปรความหมาย 7. เสนอรายงานผลการวิจัย
1. กำหนดเรื่องการวิจัย 2. เตรียมการรวบรวมข้อมูล 3. รวบรวมข้อมูลเชิงคุณภาพ 4. บันทึกข้อมูลเชิงคุณภาพ 5. วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ 6. สรุปผลและเขียนรายงาน
วิธีการเก็บข้อมูล

1.            แบบสอบถามปลายปิด
2.            แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง
3.            (แบบปรนัย)
1.          การสังเกต
2.          การสัมภาษณ์เจาะลึก
3.          การจัดสนทนากลุ่ม
4.          การบันทึกประวัติชีวบุคคล
5.          การวิจัยเอกสาร
6.          การเตรียมตัวทำงานภาคสนาม
7.          (แบบอัตนัย)
การวิเคราะห์ข้อมูล/ การตรวจสอบข้อมูล

-    วิเคราะห์เชิงปริมาณโดยใช้สถิติช่วย (Statistical analysis) ใช้สถิติบรรยาย และสถิติอนุมาน
-    การวิเคราะห์มีความเป็นปรนัยเข้าใจได้ ง่าย

- วิเคราะห์เชิงตรรกะเป็นหลักอาจมีการวิเคราะห์ เชิงปริมาณช่วยเล็กน้อย (Content analysis)
- ใช้สถิติบรรยายประกอบการวิเคราะห์โดยใช้ ความเป็นเหตุเป็นผล
- ใช้เวลามากในการผสมผสานข้อค้นพบและ ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล
- การวิเคราะห์ส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับผู้วิจัย ทำให้ไม่ เป็นปรนัย
- ระบุวิธีการศึกษาอย่างละเอียด
- พรรณาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนสร้างข้อสรุปใน เรื่องนั้นๆ
- ตรวจสอบข้อมูล 3 เส้า (ดูในหนังสือ)
การรายงานผล

รายงานผลโดยอ้างอิงสถิติ (Report statistical analysis)
รายงานผลโดยอ้างอิงคำพูดหรือเรื่องราวจริงจาก กลุ่มตัวอย่าง (Report rich narrative)
การเขียนรายงานการ วิจัย

นักวิจัยเชิงปริมาณมีลีลาและรูปแบบการเขียน รายงานการวิจัยของตนเองที่มีลักษณะของ การใช้ภาษาเป็นพิธีการ
นักวิจัยเชิงคุณภาพมีลีลาและรูปแบบการเขียน รายงานการวิจัยของตนเองที่มีลักษณะของภาษา อย่างเป็นกันเอง
การสรุปผล

นำไปใช้อ้างอิงแทนประชาการทั้งหมดได้
ใช้อ้างอิงได้เฉพาะกลุ่ม
ทักษะของนักวิจัย
มีความสามารถทางสถิติ
มีความละเอียดอ่อน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น