ในห้วงเวลาที่ประเทศชาติ กำลังเผชิญปัญหาวิกฤตทางเศรษฐกิจ และประชาชน ทุกระดับ ประสบปัญหาต่าง ๆปัญหาหนึ่งที่ประชาชนระดับรากหญ้า ซึ่งเป็นคนกลุ่มใหญ่ของประเทศถูก รุมเร้าคือปัญหาความยากจน รัฐบาลจึงได้ประกาศสงครามกับความยากจน โดยได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาว่า จะจัดให้มีโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์เพื่อให้แต่ละชุมชนได้ใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นมาใช้ในการพัฒนาสินค้าโดยรัฐพร้อมที่จะเข้าช่วยเหลือในด้านความรู้สมัยใหม่ และการบริหารจัดการเพื่อเชื่อมโยงสินค้าจากชุมชนสู่ตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศด้วยระบบร้านค้าเครือข่ายและอินเตอร์เน็ตเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนกระบวนการพัฒนาท้องถิ่น สร้างชุมชนให้เข้มแข็ง พึ่งตนเองได้ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการสร้างรายได้ด้วยการนำทรัพยากร ภูมิปัญญาในท้องถิ่นมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์และบริการที่มีคุณภาพ มีจุดเด่นและมูลค่าเพิ่ม เป็นที่ต้องการของตลาด ทั้งในและต่างประเทศและได้กำหนดระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วย คณะกรรมการอำนวยการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ แห่งชาติ พ.ศ. 2544 ประกาศ ณ วันที่ 7 กันยายน 2544 ขึ้น โดยกำหนดให้มีคณะกรรมการอำนวยการ หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ แห่งชาติ หรือเรียกโดยย่อว่า กอ.นตผ ซึ่งฯพณฯ นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายปองพล อดิเรกสาร) เป็นประธานกรรมการ และให้คณะกรรมการ กอ.นตผ มีอำนาจหน้าที่ในการกำหนดนโยบาย ยุทธศาสตร์
และแผนแม่บทการดำเนินงาน“หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์” กำหนดมาตรฐานและหลักเกณฑ์การคัดเลือกและขึ้นบัญชีผลิตภัณฑ์ดีเด่นของตำบลรวมทั้งสนับสนุนให้การดำเนินงานเป็นไปตามนโยบาย ยุทธศาสตร์และแผนแม่บท อย่างมีประสิทธิภาพ
และแผนแม่บทการดำเนินงาน“หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์” กำหนดมาตรฐานและหลักเกณฑ์การคัดเลือกและขึ้นบัญชีผลิตภัณฑ์ดีเด่นของตำบลรวมทั้งสนับสนุนให้การดำเนินงานเป็นไปตามนโยบาย ยุทธศาสตร์และแผนแม่บท อย่างมีประสิทธิภาพ
ปรัชญาของ หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์
“หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์” เป็นแนวทางประการหนึ่ง ที่จะสร้างความเจริญแก่ชุมชนให้สามารถยกระดับฐานะความเป็นอยู่ของคนในชุมชนให้ดีขึ้น โดยการผลิตหรือจัดการทรัพยากรที่มีอยู่ในท้องถิ่น ให้กลายเป็นสินค้าที่มีคุณภาพ มีจุดเด่นเป็นเอกลักษณ์ของตนเองที่ สอดคล้องกับวัฒนธรรมในแต่ละท้องถิ่น สามารถจำหน่ายในตลาดทั้งภายในและต่างประเทศ โดยมีหลักการ พื้นฐาน 3 ประการ คือ
1) ภูมิปัญญาท้องถิ่นสู่สากล (Local Yet Global)
2) พึ่งตนเองและคิดอย่างสร้างสรรค์ (Self-Reliance-Creativity)
3) การสร้างทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource Development)
ผลิตภัณฑ์ ไม่ได้หมายถึงตัวสินค้าเพียงอย่างเดียวแต่เป็นกระบวนการทางความคิดรวมถึงการบริการ การดูแลการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การรักษาภูมิปัญญาไทย การท่องเที่ยว ศิลปวัฒนธรรม ประเพณี การต่อยอดภูมิปัญญาท้องถิ่นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ มีจุดเด่น จุดขายที่รู้จักกันแพร่หลายไปทั่วประเทศและทั่วโลก
วัตถุประสงค์ของหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์
จากนโยบายของรัฐบาล ที่แถลงต่อรัฐสภา และตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการอำนวยการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์แห่งชาติ พ.ศ. 2544 การดำเนินงานตามโครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ มีวัตถุประสงค์เพื่อ
1) สร้างงาน สร้างรายได้ แก่ชุมชน
2) สร้างความเข้มแข็งแก่ชุมชน ให้สามารถคิดเอง ทำเอง ในการพัฒนาท้องถิ่น
3) ส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่น
4) ส่งเสริมการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
5) ส่งเสริมความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ของชุมชน ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ โดยสอดคล้องกับวิถีชีวิตและวัฒนธรรมในท้องถิ่น
โครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ ( ONE TAMBON ONE PRODUCT : OTOP )
เป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญเร่งด่วนของรัฐบาล ที่แถลงต่อรัฐบาลไทย มีเป้าหมายมุ่งเน้นให้แต่ละชุมชนได้นำภูมิปัญญาท้องถิ่นมาใช้ในการพัฒนาสินค้า โดยภาครัฐ พร้อมที่จะเข้าช่วยเหลือในด้านความรู้สมัยใหม่ และการบริหารจัดการ เพื่อเชื่อมโยงสินค้าจากชุมชน สู่ตลาดทั้งในและต่างประเทศ ด้วยระบบร้านค้าเครือข่าย และอินเตอร์เน็ต และเพื่อส่งเสริมสนับสนุนกระบวนการพัฒนาท้องถิ่น สร้างชุมชนที่เข้มแข็ง พึ่งตนเองได้ ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการสร้างงาน สร้างรายได้ ด้วยการนำทรัพยากร ภูมิปัญญาในท้องถิ่น มาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์และบริการที่มีคุณภาพ มีจุดเด่นและมีมูลค่าเพิ่ม เป็นที่ต้องการของตลาดทั้งใน และต่างประเทศ สอดคล้องกับวัฒนธรรม และวิถีชีวิตท้องถิ่น
วัตถุประสงค์
จากความสำคัญและเป้าหมายของโครงการ OTOP ดังกล่าว และตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยคณะกรรมการอำนวยการ หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์แห่งชาติ พ.ศ.2544 ได้กำหนดวัตถุประสงค์ การดำเนินงานโครงการ หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ไว้ 5 ประการ คือ
1.สร้างงาน สร้างรายได้ แก่ชุมชน
2.สร้างความเข้มแข็งแก่ชุมชนให้สามารถคิดเอง ทำเอง ในการพัฒนาท้องถิ่น
3.ส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่น
4.ส่งเสริมการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
5.ส่งเสริมความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ของชุมชน ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ให้สอดคล้องกับวิถีชีวิต และวัฒนธรรมในท้องถิ่น
โครงการคัดสรรสุดยอดหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ไทย ปี พ.ศ. 2547 หรือ OTOP Product Champion ( OPC )
การคัดสรรสุดยอดหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ไทย เป็นกระบวนการส่งเสริมสินค้า OTOP ที่รัฐบาลได้ให้ความสำคัญมากในปี 2547 โดยเป็นการดำเนินงานต่อเนื่อง จากการลงทะเบียนผู้ประกอบการ OTOP ซึ่งก็มีทั้งOTOP ชุมชน และ SMEs และการจัดการฝึกอบรม SMART OTOP ให้แก่ OTOP ชุมชน จำนวน 26,600 คน เพื่อเพิ่มพูนทักษะความรู้ในการพัฒนาและยกระดับมาตรฐานผลิตภัณฑ์
ในการคัดสรรสุดยอดหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ไทย ปี 2547 มีผู้ประกอบการทั้ง 2 กลุ่ม สมัครลงทะเบียนเข้ารับการคัดสรรในระดับอำเภอ มากกว่า 27,000 ราย โดยมีการคัดสรรในระดับจังหวัด กลุ่มจังหวัด( CLUSTER) และประเทศ
ผลการคัดสรรระดับประเทศมีผลิตภัณฑ์ได้รับคะแนนในระดับ 5 ดาว ( OPC ระดับ 5 ดาว ) จำนวนทั้งสิ้น 573 ผลิตภัณฑ์ การนำเสนอข้อมูล OPC 5 ดาวในส่วนนี้ จึงเป็นการสร้างโอกาสและขยายผลในด้านการตลาดและช่องทางการจำหน่ายของ OPC ระดับ 5 ดาวให้เพิ่มมากขึ้นต่อไป
กรมการพัฒนาชุมชน เดินหน้ายกเครื่องการบริหารโครงการโอทอป เร่งสร้างศูนย์แสดงสินค้า 9 แห่งทั่วประเทศ ทั้งในพื้นที่ 7 จว.ชายแดน ควบศูนย์กลางท่องเที่ยวอย่างกรุงเทพฯ-ภูเก็ต หนุนสินค้าโอทอปขายได้ทั้งปี และยังเป็นคลังสินค้า ระบุนำร่อง 2 แห่งภายในสิ้นปีนี้ และครบถ้วนภายในปีหน้า ตั้งเป้าดันยอดขายทะลุ 1 แสนล้าน
นายสุรชัย ขันอาสา อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน เปิดเผยถึงการขับเคลื่อนนโยบาย โครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ว่า ที่ผ่านมาผู้ประกอบการโอทอป ประสบปัญหาด้านการบริหารจัดการ การตลาด จึงจำเป็นต้องใช้การวิจัยและพัฒนา (R&D) มาช่วยพัฒนาโครงการโอทอปทั้งระบบ โดยกรมฯ มีนโยบาย 7 x 2 คือ การกำหนดพื้นที่หลักเพื่อเป็นจุดแสดงและจำหน่ายสินค้าโอทอป
ทั้งนี้ 7 หมายถึง พื้นที่จังหวัดที่อยู่แนวเขตชายแดน เช่น สระแก้ว หนองคาย ฯลฯ เพื่อรองรับผู้บริโภค จากประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มอาเซียน ส่วน 2 หมายถึง พื้นที่หลักที่เป็นย่านธุรกิจการท่องเที่ยว คือ กรุงเทพมหานคร และ ภูเก็ต โดยการกำหนดพื้นที่ดังกล่าว ทำเป็นศูนย์กระจายสินค้า จะช่วยให้สินค้าโอทอปจำหน่ายได้ตลอดทั้งปี เพราะที่ผ่านมาผู้ที่สนใจจะมีโอกาสได้ซื้อสินค้าในช่วงงาน OTOP City และ OTOP Midyear เท่านั้น
นายสุรชัย ระบุด้วยว่า ตั้งเป้าหมายไว้ว่า จุดแรกใน 2 พื้นที่หลัก ในกรุงเทพฯ และภูเก็ต จะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม ปีนี้ (2554) ส่วนที่เหลือทั้งหมด จะเสร็จภายในปีหน้า (2555) ซึ่งภายในศูนย์ฯ ทั้ง 9 แห่ง ไม่ได้มีเพียงมีการแสดงและจำหน่ายสินค้าเท่านั้น แต่จะเป็นแหล่งเรียนรู้ด้านการพัฒนาโอทอปทั้งระบบ และเป็นจุดสั่งซื้อผลิตภัณฑ์โอทอปอีกด้วย
อีกทั้ง หลังจากการจัดงานโอทอปในส่วนกลาง เมื่อจัดงานเสร็จผลิตภัณฑ์สินค้าโอทอปที่เหลือก็จะถูกนำไปไว้ในศูนย์ฯต่างๆ โดยที่ผ่านมา หลังเลิกงานฯ จะต้องขนผลิตภัณฑ์กลับ หรือไม่ก็ขายลดราคา ทำให้ขาดโอกาสทางการตลาดและรายได้ โดยจะจัดให้เหมือนกับศูนย์ส่งออกย่านรัชดา คือ เน้นสินค้าตามช่วงเทศกาล หมุนเวียนกันไป เปรียบเสมือนเป็นคลัง stock สินค้า ที่มีมากกว่า 8๐,๐๐๐ ผลิตภัณฑ์ทั่วประเทศ แต่ละหมู่บ้าน ตำบล จะมีการพัฒนา Product ของตนเองให้ตรงกับความต้องการของตลาด โดยสนับสนุนให้มีการรวมตัวกันเป็นเครือข่าย ทั้งเครือข่ายผู้ผลิต ผู้ประกอบการ เครือข่ายสถาบันการศึกษา หน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง มีการประกวด การพัฒนาต่อยอดและพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ดาว ปีละ2 ครั้ง เพื่อยกระดับสินค้าตนเองและสร้างมาตรฐานของผลิตภัณฑ์
อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน เปิดเผยเพิ่มเติมว่า ในส่วนของการส่งออกไปต่างประเทศ ทางกรมฯ ได้ดำเนินการร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ ในส่วนการพัฒนาคุณภาพการผลิต นอกจากนั้น กระทรวงอุตสาหกรรม ให้การสนับสนุนส่งเสริมเพื่อยกระดับให้เป็น SMEs
ทั้งนี้ ที่ผ่านมา โครงการโอทอปสามารถสร้างยอดจำหน่ายได้มากถึง 6 หมื่นล้านบาท โดยภายในปี 2555 ตั้งเป้าไว้ว่าจะมียอดจำหน่ายให้ได้ถึง 1 แสนล้านบาท จากสินค้ากว่า 8 หมื่นชนิดที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ
นายสุรชัย ขันอาสา อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน เปิดเผยถึงการขับเคลื่อนนโยบาย โครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ว่า ที่ผ่านมาผู้ประกอบการโอทอป ประสบปัญหาด้านการบริหารจัดการ การตลาด จึงจำเป็นต้องใช้การวิจัยและพัฒนา (R&D) มาช่วยพัฒนาโครงการโอทอปทั้งระบบ โดยกรมฯ มีนโยบาย 7 x 2 คือ การกำหนดพื้นที่หลักเพื่อเป็นจุดแสดงและจำหน่ายสินค้าโอทอป
ทั้งนี้ 7 หมายถึง พื้นที่จังหวัดที่อยู่แนวเขตชายแดน เช่น สระแก้ว หนองคาย ฯลฯ เพื่อรองรับผู้บริโภค จากประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มอาเซียน ส่วน 2 หมายถึง พื้นที่หลักที่เป็นย่านธุรกิจการท่องเที่ยว คือ กรุงเทพมหานคร และ ภูเก็ต โดยการกำหนดพื้นที่ดังกล่าว ทำเป็นศูนย์กระจายสินค้า จะช่วยให้สินค้าโอทอปจำหน่ายได้ตลอดทั้งปี เพราะที่ผ่านมาผู้ที่สนใจจะมีโอกาสได้ซื้อสินค้าในช่วงงาน OTOP City และ OTOP Midyear เท่านั้น
นายสุรชัย ระบุด้วยว่า ตั้งเป้าหมายไว้ว่า จุดแรกใน 2 พื้นที่หลัก ในกรุงเทพฯ และภูเก็ต จะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม ปีนี้ (2554) ส่วนที่เหลือทั้งหมด จะเสร็จภายในปีหน้า (2555) ซึ่งภายในศูนย์ฯ ทั้ง 9 แห่ง ไม่ได้มีเพียงมีการแสดงและจำหน่ายสินค้าเท่านั้น แต่จะเป็นแหล่งเรียนรู้ด้านการพัฒนาโอทอปทั้งระบบ และเป็นจุดสั่งซื้อผลิตภัณฑ์โอทอปอีกด้วย
อีกทั้ง หลังจากการจัดงานโอทอปในส่วนกลาง เมื่อจัดงานเสร็จผลิตภัณฑ์สินค้าโอทอปที่เหลือก็จะถูกนำไปไว้ในศูนย์ฯต่างๆ โดยที่ผ่านมา หลังเลิกงานฯ จะต้องขนผลิตภัณฑ์กลับ หรือไม่ก็ขายลดราคา ทำให้ขาดโอกาสทางการตลาดและรายได้ โดยจะจัดให้เหมือนกับศูนย์ส่งออกย่านรัชดา คือ เน้นสินค้าตามช่วงเทศกาล หมุนเวียนกันไป เปรียบเสมือนเป็นคลัง stock สินค้า ที่มีมากกว่า 8๐,๐๐๐ ผลิตภัณฑ์ทั่วประเทศ แต่ละหมู่บ้าน ตำบล จะมีการพัฒนา Product ของตนเองให้ตรงกับความต้องการของตลาด โดยสนับสนุนให้มีการรวมตัวกันเป็นเครือข่าย ทั้งเครือข่ายผู้ผลิต ผู้ประกอบการ เครือข่ายสถาบันการศึกษา หน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง มีการประกวด การพัฒนาต่อยอดและพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ดาว ปีละ2 ครั้ง เพื่อยกระดับสินค้าตนเองและสร้างมาตรฐานของผลิตภัณฑ์
อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน เปิดเผยเพิ่มเติมว่า ในส่วนของการส่งออกไปต่างประเทศ ทางกรมฯ ได้ดำเนินการร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ ในส่วนการพัฒนาคุณภาพการผลิต นอกจากนั้น กระทรวงอุตสาหกรรม ให้การสนับสนุนส่งเสริมเพื่อยกระดับให้เป็น SMEs
ทั้งนี้ ที่ผ่านมา โครงการโอทอปสามารถสร้างยอดจำหน่ายได้มากถึง 6 หมื่นล้านบาท โดยภายในปี 2555 ตั้งเป้าไว้ว่าจะมียอดจำหน่ายให้ได้ถึง 1 แสนล้านบาท จากสินค้ากว่า 8 หมื่นชนิดที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ