โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค
เป็นนโยบายในการหาเสียงของพรรคไทยรักไทยเมื่อกลางปี2543 เป็นช่วงที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคฝ่ายรัฐบาล ประเทศไทยอยู่ในภาวะวิกฤติจากการลดอัตราเงินบาท นโยบายนี้จึงได้รับความสนใจจากประชาชนเป็นอย่างมาก เพราะจะให้มีการประกันสุขภาพกันถ้วนหน้า ดังนั้นในปี 2544 พรรคไทยรักไทยจึงชนะการเลือกตั้ง
โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคไม่ใช่เป็นความคิดใหม่หรือแหวกแนวจากระบบประกันสุขภาพอื่นๆ แต่พรรคไทยรักไทยได้เลียนแบบหลักการและรายละเอียดต่างๆจากระบบ Capitation ของสหรัฐฯ ซึ่งเขาจะใช้กับแพทย์ Primary care เท่านั้น แต่ของประเทศไทยใช้กับร.พ.ในสังกัด คือรวมค่ารักษาทั้งหมด จ่ายให้ร.พ.ในสังกัดเป็นรายบุคคลต่อปีโดยจ่ายให้เท่ากันหมด ไม่ได้คำนึงถึงอายุผู้ป่วย งบประมาณของแต่ละโรงพยาบาล และอัตราครองชีพของแต่ละท้องถิ่นซึ่งต่างกัน
เมื่อคราวที่ท่านนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร เดินทางมานิวยอร์ก เมื่อเดือนธันวาคม 2546 ได้กล่าวว่าประเทศไทยเป็นประเทศเดียวในโลกที่ประชาชนทุกคนมีประกันสุขภาพ ผมอยากคัดค้านแต่โอกาสไม่อำนวย ที่จริงแล้วกลุ่มประเทศระบบสังคมนิยม ยุโรปตะวันตก และกลุ่มประเทศสะแคนดิเนเวีย ประชาชนทุกคนมีประกันสุขภาพและไม่มีการแบ่งชั้นวรรณะ เป็นระบบที่รัฐบาลจ่ายให้ทุกคน (Single Payer system)
หลักการประกันสุขภาพถ้วนหน้าแห่งประเทศไทยมีอยู่ด้วยกัน 4 ระบบคือ
1. ระบบประกันสังคม ที่มีมานานแล้ว รัฐบาลจะรับผิดชอบทั้งหมดให้กับผู้ป่วยที่ยากจนทุพพลภาพ รวมถึงเวชภัณฑ์ด้วย ระบบนี้เหมือนกับ Medicaid ในสหรัฐฯ
2. ระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลของราชการ เป็นระบบที่ได้รับผลประโยชน์มากที่สุด เพราะรัฐบาลจ่ายค่ารักษาให้ทุกบาททุกสตางค์ และถ้าใช้บริการ.พ.เอกชนก็สามารถ เบิกคืนได้ถึง 80% ของค่าใช้จ่ายทั้งหมด ระบบนี้ยังครอบคลุมไปถึงบิดา มารดา สามี ภรรยาและบุตรทุกคน ข้าราชการที่เกษียณก็ได้ผลประโยชน์จากระบบนี้ด้วย
3. ระบบประกันสุขภาพซึ่งบริษัทหรือผู้ป่วยเสียเงินโดยตรง ระบบนี้มีผู้ใช้บริการน้อยมากเพราะเบี้ยประกันแพงยกเว้นพวกบริษัทต่างประเทศที่มีพนักงานทำงานในประเทศไทย ซึ่งผู้ป่วยประเภทนี้มักเข้าร.พ.เอกชน
4. พรรคไทยรักไทย ตระหนักดีว่าประชาชนคนไทย 71-72 ล้านคน ไม่มีประกันสุขภาพประมาณ 46-47 ล้านคน ดังนั้นนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรคจึงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้พรรคไทยรักไทย ชนะการเลือกตั้งเข้ามาเป็นพรรครัฐบาล นโยบายนี้ผู้เขียนเห็นว่าดีเยี่ยม แต่ในเชิงปฏิบัติและงบประมาณจะทำได้หรือไม่ ทั้งนี้รวมถึงบุคลากร แพทย์ พยาบาล และผู้ที่เกี่ยวข้องพร้อมที่จะปฏิบัติหรือไม่
งบประมาณและการแบ่งแยกส่วนการบริการ รัฐบาลได้จัดงบประมาณขั้นต่ำสุดที่จำเป็น
สำหรับการสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเท่ากับ 1,202.40 บาทต่อประชากรต่อปีต่อคน เท่าที่ทราบงบประมาณก้อนนี้ได้จากกระทรวงสาธารณสุข ในเชิงปฏิบัติการใช้ระบบเหมา(Capitation)โดยนับหัวประชาชนในท้องถิ่นกับร.พ.ที่ใกล้ที่อยู่อาศัยนั้นไม่ยุติธรรมอย่างยิ่งต่อประชาชนและโรงพยาบาล ร.พ.ประจำจังหวัดขนาดใหญ่ ร.พ.มหาวิทยาลัย จะเสียเปรียบมาก เพราะร.พ.เหล่านี้ค่าใช้จ่ายสูง ดังนั้นปัญหางบประมาณจึงเป็นปัญหาใหญ่ เพราะไม่เคยมีสถิติการรักษาแบบ Capitation ในประเทศไทยมาก่อน ผู้เขียนได้มีโอกาสพูดคุยกับผอ.ร.พ.นครพนม ร.พ.มุกดาหาร ขณะไปสำรวจร.พ.เพื่อที่จะให้หน่วยแพทย์อาสาสมัครสมาคมแพทย์ไทยในสหรัฐฯ ไปออกหน่วยในปี 2549 ท่านทั้ง 2 ได้ให้ความเห็นตรงกันคือ ต้องตัดค่าใช้จ่ายต่างๆ รวมถึงบุคลากร เพื่อความอยู่รอดของร.พ. โครงการ 30 บาทได้เริ่มจริงจังในปี 2545 ผู้ป่วยจึงได้มาใช้บริการที่ร.พเป็นจำนวนมาก. ทำให้รับผิดชอบเพิ่มมากขึ้นและ ร.พ.ต้นสังกัดจะให้การบริการน้อยในด้านวิเคราะห์โรค เช่น การตรวจเลือด x-ray CT scan, MRI และอื่นๆ เพราะค่าใช้จ่ายสูงและร.พ.ไม่ได้รับค่าตอบแทนเพิ่มขึ้น ”The less you do the more money you have” ซึ่งขัดกับความจริงในการรักษาผู้ป่วย ซึ่งผู้ป่วยควรจะเป็นผู้ที่ได้รับผลประโยชน์จากการรักษาที่ถูกต้องมากที่สุด ไม่ใช่นักการเมืองหรือนักบริหาร ที่คอยจะกอบโกยท่าเดียว นักการเมืองบางคนได้ซื้อร.พ.เอกชนในกรุงเทพฯ 2-3 แห่ง โดยใช้ชื่อของเพื่อนบ้าง ญาติสนิทบ้างดำเนินกิจการเสียเอง อย่างไรก็ตามผู้ป่วยที่ไม่มีเวลารอคิวจะหันไปใช้บริการร.พ.เอกชน โดยไม่ใช้สิทธิ 30 บาท จะเห็นได้ว่าร.พ.เอกชนในกรุงเทพฯและต่างจังหวัดได้ผลกำไรจากการประกอบธุรกิจเพิ่มขึ้น
สำหรับการสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเท่ากับ 1,202.40 บาทต่อประชากรต่อปีต่อคน เท่าที่ทราบงบประมาณก้อนนี้ได้จากกระทรวงสาธารณสุข ในเชิงปฏิบัติการใช้ระบบเหมา(Capitation)โดยนับหัวประชาชนในท้องถิ่นกับร.พ.ที่ใกล้ที่อยู่อาศัยนั้นไม่ยุติธรรมอย่างยิ่งต่อประชาชนและโรงพยาบาล ร.พ.ประจำจังหวัดขนาดใหญ่ ร.พ.มหาวิทยาลัย จะเสียเปรียบมาก เพราะร.พ.เหล่านี้ค่าใช้จ่ายสูง ดังนั้นปัญหางบประมาณจึงเป็นปัญหาใหญ่ เพราะไม่เคยมีสถิติการรักษาแบบ Capitation ในประเทศไทยมาก่อน ผู้เขียนได้มีโอกาสพูดคุยกับผอ.ร.พ.นครพนม ร.พ.มุกดาหาร ขณะไปสำรวจร.พ.เพื่อที่จะให้หน่วยแพทย์อาสาสมัครสมาคมแพทย์ไทยในสหรัฐฯ ไปออกหน่วยในปี 2549 ท่านทั้ง 2 ได้ให้ความเห็นตรงกันคือ ต้องตัดค่าใช้จ่ายต่างๆ รวมถึงบุคลากร เพื่อความอยู่รอดของร.พ. โครงการ 30 บาทได้เริ่มจริงจังในปี 2545 ผู้ป่วยจึงได้มาใช้บริการที่ร.พเป็นจำนวนมาก. ทำให้รับผิดชอบเพิ่มมากขึ้นและ ร.พ.ต้นสังกัดจะให้การบริการน้อยในด้านวิเคราะห์โรค เช่น การตรวจเลือด x-ray CT scan, MRI และอื่นๆ เพราะค่าใช้จ่ายสูงและร.พ.ไม่ได้รับค่าตอบแทนเพิ่มขึ้น ”The less you do the more money you have” ซึ่งขัดกับความจริงในการรักษาผู้ป่วย ซึ่งผู้ป่วยควรจะเป็นผู้ที่ได้รับผลประโยชน์จากการรักษาที่ถูกต้องมากที่สุด ไม่ใช่นักการเมืองหรือนักบริหาร ที่คอยจะกอบโกยท่าเดียว นักการเมืองบางคนได้ซื้อร.พ.เอกชนในกรุงเทพฯ 2-3 แห่ง โดยใช้ชื่อของเพื่อนบ้าง ญาติสนิทบ้างดำเนินกิจการเสียเอง อย่างไรก็ตามผู้ป่วยที่ไม่มีเวลารอคิวจะหันไปใช้บริการร.พ.เอกชน โดยไม่ใช้สิทธิ 30 บาท จะเห็นได้ว่าร.พ.เอกชนในกรุงเทพฯและต่างจังหวัดได้ผลกำไรจากการประกอบธุรกิจเพิ่มขึ้น
โครงการ 30 บาท รักษาได้ทุกโรคจริงหรือไม่ ????
ในช่วงหาเสียงของพรรคไทยรักไทยไม่มีรายละเอียดบริการการรักษา แต่ปรากฏว่ามีข้อยกเว้นในการใช้สิทธิหลายกรณีด้วยกัน
1. กลุ่มที่ปัจจุบันมีงบประมาณจัดสรรให้เป็นการเฉพาะ
· โรคจิตซึ่งรับการรักษาเป็นผู้ป่วยภายในเกินกว่า 15 วัน
· การบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาและสารเสพย์ติด
· ผู้ประสพภัยจากรถ ซึ่งสามารถใช้สิทธิตามพ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสพภัยจากรถ
2. กลุ่มที่เกินความจำเป็นพื้นฐาน
· การรักษาภาวะที่มีบุตรยาก
· การผสมเทียม
· การเปลี่ยนเพศ
· ศัลยกรรมตกแต่ง โดยไม่มีข้อชี้บ่งทางการแพทย์
3. กลุ่มอื่นๆ (การรักษาที่ต้องใช้ค่าใช้จ่ายสูง)
· โรคเดียวกัน ที่ต้องใช้ระยะเวลาการรักษาผู้ป่วยนานเกิน 180 วัน
· การรักษาที่ยังอยู่ในระหว่างการค้นคว้าทดลอง( Experimental Treatment)
· การรักษาผู้ป่วยไตวาย เรื้อรังระยะสุดท้าย ด้วยการล้างไต หรือฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม( Peritonial & Hemodialysis)
· ยาต้านไวรัสเอดส์( AIDS) ยกเว้นการป้องกันการแพร่กระจายจากแม่สู่ลูก
· การตั้งครรภ์และคลอดบุตรเกิน 2 คน (ถ้ามีชีวิตอยู่ทั้ง 2 คน)
· การเปลี่ยนอวัยวะ เช่น ไต ตับ และหัวใจรวมถึงไขกระดูก
สรุปข้อคิดเห็นจากผู้เขียน
โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคเป็นนโยบายและโครงการที่ดี แต่มาประยุกต์กับระบบการแพทย์ในประเทศไทยไม่ได้ เพราะแพทย์ พยาบาลและบุคลากรด้านสาธารณสุข มีความแตกต่างกันมาก ขึ้นกับพื้นที่ภูมิภาคของแต่ละส่วนในประเทศไทย งบประมาณ1,204.40 บาท ต่อปีต่อคนทั่วประเทศไทย ไม่ยุติธรรมในด้านงบประมาณ ร.พ, ศูนย์ และ ร.พ.มหาวิทยาลัยจะขาดความก้าวหน้าในด้านวิชาการ การรักษา Technology ใหม่ๆ ที่จะมาใช้ในการบำบัดรักษาให้ได้ผลดีที่สุด ดังพระอนุสาสน์ของสมเด็จพระบรมราชชนก “ขอให้ถือประโยชน์ส่วนตัวเป็นที่สอง ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์เป็นกิจที่หนึ่ง”
โครงการ 30 บาท รักษาทุกโรค ไม่จ่ายค่ารักษาผู้ป่วยโรคเอดส์ ผู้เขียนคิดว่าเป็นการผิดมนุษยธรรมอย่างยิ่ง และเป็นการแพร่กระจายของโรคเอดส์ในสังคมด้วย การฟอกไต การเปลี่ยนอวัยวะ ผู้ที่รับผลประโยชน์มากที่สุดคือข้าราชการ ซึ่งใช้เงินภาษีอากรจากคนไทยโดยตรง แต่ผู้เสียภาษีกลับไม่ได้รับสิทธิเรื่องนี้
ตั้งแต่โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคได้นำออกมาปฏิบัติ จะเห็นได้ว่ามีความระส่ำระสายในกระทรวงสาธารณสุขเป็นอย่างมาก ในระยะเวลา 4 ปี มีการเปลี่ยนปลัดกระทรวงถึง 4 ท่านเกษียณ 1 ท่าน ลาออก 1 ท่านถูกปลด 1 ท่านและแต่งตั้งใหม่ 1 ท่าน การเปลี่ยนปลัดกระทรวง 4 ท่านใน 4 ปี แสดงให้เห็นว่าปัญหาอยู่ที่รัฐมนตรี
การเลือกตั้งที่เพิ่งผ่านมาเมื่อเร็วๆ นี้ไทยรักไทยชนะการเลือกตั้งได้เป็นรัฐบาลอีกครั้ง คราวนี้มีการเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข แต่ปลัดยังเป็นคนเดิม ทั้งรัฐมนตรีและปลัดเป็นแพทย์ทั้งสองท่าน ผู้เขียนขอฝากความหวังไว้กับท่านทั้งสอง”การรับใช้ประชาชนคนไทยให้มีสิทธิเท่าเทียมกันในการใช้บริการเพื่อสุขภาพและอนามัยเป็นกิจที่หนึ่งของท่าน”
โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคมีงบประมาณในการป้องกันและควบคุมป้องกันโรค แต่ปรากฏว่าร.พ.ในต่างจังหวัดและอำเภอเกือบทุกแห่ง ไม่มีเครื่อง x-ray เต้านม( Mammography) Pap Smear เพื่อตรวจมะเร็งปากมดลูกระยะต้น และไม่มีพยาธิแพทย์ที่จะอ่านผล Colonoscopy วิเคราะห์มะเร็งลำไส้ใหญ่ในระยะต้น ในประชากรอายุ 50 ปีขึ้นไป ไม่มีอุปกรณ์และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่จะใช้อุปกรณ์นี้ จะเห็นได้ว่าประเทศไทยยังขาดเครื่องมือและบุคลากรทางการแพทย์ที่จะให้บริการประชาชนได้ทั่วถึงเพราะไม่มีงบประมาณพอ แต่รัฐบาลไทยมีงบประมาณ 1,200 ล้านบาท ที่จะเช่าตึก เพื่อที่จะให้มีธงชาติไทยได้ขึ้นเสาบน 5th Aveในนิวยอร์ก !!
ท่านผู้อ่านครับท่านทราบหรือไม่ว่าเงิน 1,200 ล้านบาทนั้นสามารถที่จะซื้อเครื่องMammography ได้ถึง 60 เครื่อง ซึ่งสามารถแจกจ่ายให้ร.พ.ประจำจังหวัดได้เกือบทุกจังหวัด กระผมขอฝากข้อคิดให้กับรัฐบาลว่า คนไทยที่ยากจนยังมีอีกมาก อย่าเอาเงินภาษีอากรของเขามาใช้อย่างไร้สาระ เพื่อที่ท่านจะได้มีผลงานว่ารัฐบาลโดยการนำของท่านนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร สามารถนำธงไทยมาปักที่ 5th Ave.นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา กระผมทราบว่าพวกเราชาวไทยที่มาทำมาหากินที่สหรัฐฯไม่มีใครเห็นด้วย กระผมขอแสดงความยินดีต่อทุกท่านที่มีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันและไม่เห็นด้วย ที่รัฐบาลไทยจะเอาเงินภาษีอากรของคนไทยมาทิ้งในสหรัฐฯ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น