กรณีวิกฤตการณ์ต้มยำกุ้ง
สาเหตุเกิดจากความผิดพลาดในการดำเนินนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนของไทยจนมีทุนสำรองระหว่างประเทศไม่เพียงพอ กอปรกับสถาบันการเงินมีปัญหา ดังนั้นมันจึงรุกรามไปถึงประเทศอื่นด้วย
การดำเนินนโยบายด้านอัตราแลกเปลี่ยนซึ่งขณะนั้นรัฐได้ควบคุมอัตราแลกเปลี่ยนให้อยู่ในระดับ 25-26 บาทต่อดอลล่าร์สหรัฐ อัตราเงินเฟ้อ 3 - 6 % ต่อปี เป็นแรงดึงดูดเงินทุนจากต่างประเทศเข้ามาในไทยจำนวนมหาศาล ขณะนั้นเงินลงทุนมีสัดส่วนสูงกว่าเงินออมน่าสังเกตุคือ ได้เกิดการลงทุนมากเกินควรในหลายๆ สาขา โดยเฉพาะในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เงินทุนที่นำเข้าสุทธิจากต่างประเทศได้ผลักดันให้หนี้ต่างประเทศคงค้างของไทยพุ่งสูงขึ้น โดยกว่าร้อยละ 98 ของเงินทุนสุทธิเป็นยอดหนี้ของภาคเอกชน จุดอ่อนของภาคเอกชนไทยในขณะนั้น คือ การกู้เงินจนหนี้สินเกินเงินกองทุนหลายเท่าตัว หรือไม่ก็ก่อหนี้ระยะสั้นมากเกินควร
นโยบายการเงินที่ผิดพลาด ได้อัดฉีดเงินเข้าไปอุ้มสถาบันการเงินที่มีปัญหาเศรษฐกิจไทยเริ่มอ่อนแอลงอีกเพราะนักลงทุนต่างชาติเริ่มขาดความเชื่อมั่น
วิกฤตการณ์แฮมเบอเกอร์
สาเหตุเกิดจากความผิดพลาดของสหรัฐอเมริกาในการจัดการสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์และการกำกับดูแลกลุ่มวาณิชธนกิจ (Investment banker) อย่างไม่รัดกุม จนเกิดปัญหาขาดสภาพคล่องและลุกลามคุมคามความมั่นคงของสถาบันการเงิน
สาเหตุแรกของวิกฤต คือ มีทุนไหลเข้าไปในประเทศมากจนล้นออกไปในภาคอสังหาริมทรัพย์ จนทำให้มีการเก็งกำไรกันขึ้น ต้นเหตุที่มีเงินทุนไหลเข้ามาในสหรัฐมากก็เพราะดอลลาร์สหรัฐเป็นเงินสกุลหลักซึ่งเป็นที่เชื่อถือของชาวโลก และเกิดจากรัฐบาลพิมพ์ธนบัตรของตนเองโดยไม่มีหลักทรัพย์หนุนหลังและไหลเวียนอยู่ในต่างประเทศ หรือสหรัฐก่อหนี้ด้วยการพิมพ์ธนบัตรเกินหลักทรัพย์ของตนเอง ปัจจุบันรัฐบาลสหรัฐมีหนี้อันเนื่องมาจากการกระทำข้างต้น 3 ล้านล้านดอลลาร์ ประกอบกับการขาดสภาพคล่องของกลุ่มวาณิชธนกิจจนทำให้ราคาหุ้นของ 5 บริษัทใหญ่ตกจนไม่สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง สุดท้ายก็กระทบไปทั่วโลก
ข้อแตกต่างระหว่างวิกฤตการณ์ต้มยำกุ้ง กับ วิกฤตการณ์แฮมเบอเกอร์
สาเหตุของต้มยำกุ้งเกิดจากการดำเนินนโยบายของรัฐบาลไทยในเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน และการอุ้มสถาบันการเงิน ส่วนวิกฤตการณ์แฮมเบอร์เกอร์ เกิดจากวินัยการคลังของสหรัฐกล่าวคือรัฐบาลพิมพ์ธนบัตรออกมามากเกินไป และการรัฐไม่เข้าไปควบคุมระบบการเงินของกลุ่มวาณิชธนกิจ
ส่งผลกระทบต่อประเทศไทย
วิกฤตการณ์ต้มยำกุ้ง ส่งผลกระทบต่อประเทศไทย ทำให้เกิดสภาวะเงินเฟ้อ ราคาสินค้าสูงทุกประเภท ประชาชนมีหนี้สิ้นมากมาย ส่งผลทำให้สถาบันการเงินมีหนี้ NPL มาก รัฐบาลต้องนำเงินมาอุ้มสถาบันการเงินเพื่อป้องกันการล่มสลายของสถาบันการเงิน จนส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจโลก
วิกฤตการณ์แฮมเบอเกอร์ ส่งผลกระทบต่อประเทศไทย ทำให้บริษัทเครือข่ายของกลุ่มวาณิชธนกิจ ขาดทุนต่อเนื่อง จนจำเป็นต้องปลดพนักงาน ออกเป็นจำนวนมาก มีคนตกงานมากขึ้น ส่งผลกระทบต่อปัญหาสังคมภายในประเทศ เมื่อมีคนตกงานมากขึ้น จึงทำให้มีการใช้จ่ายน้อยลง ส่งผลให้เงินสภาวะเงินฝืด จนรัฐบาลต้องนโยบายเร่งด่วนกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชน โดยจ่ายเงินให้ประชาชนที่มีรายได้น้อยคนละ 2,000 บาท
การแก้ไขปัญหา
แยกเป็น 2 แบบ คือ สภาวะเงินเฟ้อ กับ สภาวะเงินฝืด
สภาวะเงินเฟ้อ คือสภาวะที่มีเม็ดเงินอยู่ในระบบเศรษฐกิจมากจนเกินไปทำให้สินค้ามีราคาแพง การแก้ไขต้องลดจำนวนเม็ดเงินที่อยู่ในระบบ ด้วยการเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ และอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก
สภาวะเงินฝืด คือ สภาวะที่มีเม็ดเงินอยู่ในระบบเศรษฐกิจน้อย ผู้คนไม่ยอมจ่ายเงิน ทำให้สินค้าขายได้ยาก บริษัทที่ผลิตสินค้า เกิดสภาวะขาดสภาพคล่อง ต้องแก้ไขด้วยการลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ เพื่อให้ประชาชนกล้าที่จะลงทุน รัฐต้องกำหนดนโยบายกระตุ้นการใช้จ่ายเงิน อาจจะดึงนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ เป็นต้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น