วันศุกร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

"BRIC" ขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก

                เพราะ "บราซิล" ไม่ได้เด่นดังแค่เรื่องฟุตบอล และเทศกาลคาร์นิวัล "รัสเซีย" ก็ไม่ได้มีชื่อแค่วอดก้า คาเวียร์และจัตุรัสแดง "อินเดีย" ก็มีอะไรมากกว่าโรตีและทัช มาฮาล ส่วนความยิ่งใหญ่ของแผ่นดิน "จีน" ก็ไม่ได้สะท้อนแค่จากกำแพงเมืองจีน แต่ทั้ง 4 ประเทศนี้ มีอะไรมากกว่านั้น โดยเฉพาะในแง่ของศักยภาพทางเศรษฐกิจและการลงทุน
ก่อนหน้านี้กองทุนการเงินระหว่างประเทศ(IMF) ได้ประกาศปรับลดอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีนี้ ของกลุ่มประเทศเกิดใหม่โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "บราซิล(Brazil)" "รัสเซีย(Russia)" "อินเดีย(India)" และ "จีน(Chaina)" และมีความเป็นไปได้ที่จะปรับลดลงอีกในปีหน้า
แต่จู่ๆ IMF กลับเพิ่มตัวเลขการคาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจโลกในปีนี้จาก 4.9% เป็น 5.2% โดยแรงขับเคลื่อนหลักมาจากการขับเคลื่อนหลักของการเติบโตทางเศรษฐกิจในระดับสูงของจีนที่คาดว่าจะเติบโต 11.5% อินเดีย 8% รัสเซีย 7.2% และบราซิล 4.7% จากที่เคยคาดว่าจะเติบโตได้ราว 3.5%
ความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของทั้ง 4 ประเทศ ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกในระยะต่อไป จึงทำให้กลุ่มตลาดเกิดใหม่ทั้ง 4 ประเทศ ที่เรียกว่า "BRIC" นี้มีความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง
BRIC น่าสนใจอย่างไร ทำไมต้องลงทุนในประเทศกลุ่มนี้ สัปดาห์นี้มีเรื่องราวของกลุ่มประเทศ BRIC มานำเสนอ
..........................................................
คาดอนาคต 4 ประเทศก้าวเป็นมหาอำนาจโลก
สำหรับตลาดเกิดใหม่ทั่วโลกยังสามารถแบ่งจำเพาะเจาะจงลงไปได้เป็นกลุ่ม "BRIC" ซึ่งประกอบด้วยประเทศบราซิล รัสเซีย อินเดีย และจีน ทั้ง 4 ประเทศในกลุ่ม BRIC มีฐานความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน การเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ และความโดดเด่นที่ยังไม่มีประเทศใดเทียบได้ จึงทำให้การเข้าไปลงทุนในธุรกิจชั้นนำของทั้ง 4 ประเทศ เป็นความท้าทายใหม่ ที่บลจ.หลายแห่งสนใจจะนำผู้ลงทุนชาวไทยติดปีกไปลงทุนในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ทั้ง 4 หรือ BRIC นี้
ทั้งนี้ จากการคาดการณ์การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศ BRIC จะยังมีการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและต่อเนื่องในอีก 5 ปีข้างหน้า
โดยปัจจุบันมี บลจ. 3 แห่งได้นำเสนอกองทุนที่ไปลงทุนในต่างประเทศ(FIF) ที่ไปลงทุนในกลุ่มประเทศ BRIC นี้ ได้แก่ "กองทุนเปิดพรีมาเวสท์ (ไทยแลนด์) บริค สตาร์ ฟันด์" ของบลจ.พรีมาเวสท์ ซึ่งเสนอขายหน่วยลงทุนไปเมื่อวันที่ 14-20 พ.ย. 50 "กองทุนเปิดไอเอ็นจีไทยบริค 40" ของ บลจ.ไอเอ็นจี(ประเทศไทย) เสนอขายระหว่างวันที่ 22-29 พ.ย. 50 และ "กองทุนเปิดแอสเซ็ท พลัส บริค(ASP-BRIC)" ของบลจ.แอสเซท พลัส ที่จะเสนอขายระหว่างวันที่ 26 พ.ย.-12 ธ.ค.50 นี้
"หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมกลุ่มประเทศ BRIC จึงเป็นกลุ่มประเทศที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจในระดับโลกมากมายเช่นนี้ ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะประเทศในกลุ่ม BRIC มีคุณลักษณะพิเศษซึ่งเป็นจุดเด่นที่แตกต่างกันที่จะเอื้อต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจในลักษณะที่ส่งเสริมกัน และกันเป็นอย่างมาก ซึ่งกลุ่มประเทศ BRIC ถือเป็นแหล่งรวมทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์โดยเป็นทั้งศูนย์กลางการผลิตและฐานการบริโภคที่สำคัญของโลกเลยทีเดียว"
@บราซิล...แหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญ
เกี่ยวกับเรื่องนี้ "มาริษ ท่าราบ" กรรมการผู้จัดการ บลจ.ไอเอ็นจี(ประเทศไทย) บอกว่า ที่ผ่านมาเรารู้จักเกี่ยวกับประเทศบราซิลน้อยมาก ทั้งที่ประเทศบราซิลมีขนาดพื้นที่ 8.5 ล้านตารางกิโลเมตร ใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลก มีประชากร 181.8 ล้านคน มากเป็นอันดับ 5 ของโลกเช่นเดียวกัน มีขนาดเศรษฐกิจของประเทศ 36.3 ล้านล้านบาท จึงทำให้บราซิลเป็นประเทศที่มีผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(GDP) ใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกาใต้ โดยตลาดหลักทรัพย์ของบราซิล มีมูลค่าตลาดรวมกันทั้งสิ้น(14 พ.ย.50)อยู่ที่ 46.38 ล้านล้านบาท
นอกจากนี้ ประเทศบราซิล ยังเป็นประเทศที่มีทรัพยากรธรรมชาติและแรงงานเป็นจำนวนมาก บราซิลจึงนับเป็นศูนย์กลางของการผลิตสินแร่ของโลก เช่น ทองคำ เหล็ก สังกะสี และป่าไม้ นอกจากนี้ยังเป็นผู้นำในผลิตภัณฑ์ด้านการเกษตร ข้าวสาลี ข้าวโพด ถั่วเหลือง และยังเป็นผู้ผลิตเอทานอลรายใหญ่ที่สุดของโลกอีกด้วย
ไม่เพียงเท่านี้บราซิลยังเป็นผู้ส่งออกวัตถุดิบในด้านการผลิตที่สำคัญ เช่น เหล็ก อะลูมิเนียม แพลทินัม เอทานอลรวมถึงอุตสาหกรรมชิ้นส่วนเครื่องยนต์และเครื่องบินและรถยนต์ที่สำคัญของโลกอีกแห่งหนึ่งด้วย บราซิลจึงนับเป็นประเทศที่มีบทบาทสำคัญยิ่ง ในการส่งออกสินค้าประเภททรัพยากรเพื่อการผลิตและบริโภคให้กับจีนในปัจจุบันอีกด้วย
"เศรษฐกิจของบราซิลเองเป็นเศรษฐกิจที่มีการพัฒนาผ่านช่วงที่เคยแย่มาแล้ว ในอดีตตัวเลขเงินเฟ้อในบราซิลเคยเป็นเลข 3 หลัก แต่เขาก็สามารถบริหารจัดการและก้าวผ่านมาจนถึงปัจจุบันได้ โดยมีการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจของบราซิลจะมีการเติบโตในระดับ 4.7% ในปี 2007 และขยายตัวในระดับ 4.5% ,4.1% ,3.9% ,3.9% และ 3.9% ในปี 2008 ,2009 ,2010 ,2011 และ 2012 ตามลำดับ"
@รัสเซีย...เจ้าแห่งพลังงาน
มาริษบอกว่า ประเทศรัสเซียมีพื้นที่ 17.1 ล้านตารางกิโลเมตร ใหญ่ที่สุดในโลก มีประชากร 142.9 ล้านคน มากเป็นอันดับ 9 ของโลก มีขนาดเศรษฐกิจ 33.5 ล้านล้านบาท โดยตลาดหลักทรัพย์ของรัสเซียมีมูลค่าตลาดรวมประมาณ 32.3 ล้านล้านบาท และในปี 2006 ที่ผ่านมา รัสเซียมีผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(GDP) ใหญ่เป็นอันดับ 9 ของโลก โดยมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงถึง 6.8%
นอกจากนี้ รัสเซียยังเป็นเจ้าของแหล่งทรัพยากรธรรมชาติด้านพลังงานที่สำคัญของโลกโดยมีก๊าซธรรมชาติ 35% ของโลกมากเป็นอันดับ 1 ในโลกปัจจุบัน มีน้ำมัน 20% ของโลก มากเป็นอันดับ 8 ของโลก และรัสเซียยังเป็นแหล่งผลิตถ่านหินใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกอีกด้วย จึงถือเป็นประเทศที่มีแหล่งน้ำมันดิบและแหล่งก๊าซธรรมชาติที่สำคัญของโลกที่จะเป็นซัพพลายป้อนความต้องการใช้พลังงานของโลกที่สำคัญต่อไป ปัจจุบันรัสเซียปัจจุบันมีปริมาณน้ำมันสำรองมากเป็นอันดับสองของโลกรองจากซาอุดีอาระเบีย และเป็นประเทศส่งออกน้ำมันดิบสำคัญไปยังประเทศต่างๆ รวมถึงจีน
แม้รัสเซียจะมีความเสี่ยงในเรื่องของการเมืองที่เป็นซ้ายจัดอยู่บ้างแต่หลังจากที่มีการปฏิรูปทางเศรษฐกิจที่สำคัญในช่วงที่ผ่านมา เชื่อว่าการเมืองของรัสเซียเองก็มีการวางตัวผู้นำในรุ่นๆ ต่อไปเอาไว้ได้ค่อนข้างดี และไม่ว่าใครจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำก็จะต้องก้าวขึ้นมาเพื่อสานต่อนโยบายเศรษฐกิจต่างๆ ให้เดินหน้าต่อไปถือเป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีการบริหารจัดการเศรษฐกิจของประเทศได้ค่อนข้างดี
ทั้งนี้ มีการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจของรัสเซียในปี 2007 จะเติบโตเฉลี่ย 7.2% โดยจะเติบโตในระดับ 6.4% ,5.5% ,4.8% ,4.5% และ 4.3% ในปี 2008 ,2009 ,2010 ,2011 และ2012 ตามลำดับ
"แนวโน้มของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในโลกที่ยังมีแนวโน้มจะปรับตัวขึ้นได้ในระยะกลางถึงยาว ย่อมจะส่งผลดีกับประเทศบราซิลและรัสเซีย ซึ่งเป็นประเทศที่มีทรัพยากรธรรมชาติอยู่เป็นจำนวนมาก เพราะความต้องการบริโภคทรัพยากรธรรมชาติเหล่านี้ยังมีอยู่ในปริมาณสูง แม้จะมีการพูดถึงพลังงานทดแทนก็เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา และยังมีต้นทุนที่สูงอยู่ ซัพพลายที่ผลิตขึ้นมาได้ก็ยังไม่เพียงพอกับความต้องการใช้ในโลก ซึ่งจะส่งผลดีต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์โลกต่อไป"
@อินเดีย...ผู้นำด้านเทคโนโลยีและการสื่อสาร
มาริษยังบอกอีกว่า สำหรับประเทศอินเดียนั้นมีพื้นที่ 3.29 ล้านตารางกิโลเมตรใหญ่เป็นอันดับ 7 ของโลก มีประชากร 1.13 พันล้านคน มากเป็นอันดับ 2 ของโลก ปัจจุบันอินเดียมีขนาดเศรษฐกิจอยู่ที่ 31.38 ล้านล้านบาท โดยตลาดหลักทรัพย์ของอินเดียมีมูลค่าตลาดรวมทั้งสิ้น 56.07 ล้านล้านบาท
ทั้งนี้ อินเดียนับเป็นประเทศที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงมากเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ ทั่วโลก โดยระหว่างปี 2006-2007 มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในระดับ 9.4%
นอกจากนี้ อินเดียยังมีจุดเด่นเพราะประชากรของอินเดียเป็นประชากรที่มีคุณภาพ มีการศึกษาดี มีความพร้อมทางภาษาอังกฤษ ในขณะที่อัตราค่าแรงยังไม่สูงนักจึงเป็นแหล่งการให้บริการประเภท Outsourcing ในระดับโลกให้กับบริษัทในสหรัฐและยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านลูกค้าสัมพันธ์(Call Center)
นอกจากนี้ อินเดียยังได้รับการยอมรับในฐานะศูนย์กลางการพัฒนาด้านไอที(IT)ที่สำคัญของโลกจากบุคลากรที่มีคุณภาพการศึกษาที่สูงไม่แพ้ประเทศพัฒนาแล้ว อินเดียจึงเป็นผู้ส่งออกหลักในส่วนของสินค้าซอฟต์แวร์ ไอที บริการด้านการเงิน การวิจัย และเทคโนโลยี
ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจของอินเดียจะเติบโต 8.0% ในปี 2007 และจะขยายตัวในระดับ 7.9% ,7.4% ,7.4% ,7.5% และ 7.5% ในปี 2008 ,2009 ,2010 ,2011 และ 2012 ตามลำดับ
"อินเดียเป็นประเทศที่มีอัตราการเจริญเติบโตของประชากรอย่างหนาแน่น โดยคาดว่าอินเดียจะก้าวขึ้นมาเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลกในปี 2040 ซึ่งมีผลต่อการขยายตัวของการบริโภค และกำลังซื้อสำคัญของประเทศ ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญ ที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจของอินเดียในอนาคตอย่างยั่งยืนในระยะยาวได้"
@จีน...ผู้นำด้านการผลิตของโลก
เกี่ยวกับเรื่องนี้มาริษ บอกว่า ประเทศจีนมีขนาดพื้นที่ 9.6 ล้านตารางกิโลเมตร มีพรมแดนทางบกยาวกว่า 20,000 กิโลเมตร มีประชากรทั้งสิ้น 1.3 พันล้านคน มากเป็นอันดับ 1 ของโลก จึงเป็นแหล่งผลิตทั้งสินค้าอุปโภคบริโภคและสินค้าอุตสาหกรรมพร้อมๆ กับการเป็นผู้บริโภคสินค้าและทรัพยากรรายใหญ่ของโลก มีขนาดเศรษฐกิจ 94.02 ล้านล้านบาท โดยตลาดหลักทรัพย์ของจีนมีมูลค่าตลาดรวมทั้งสิ้น 143.78 ล้านล้านบาท และผลจากการพัฒนาด้านอุตสาหกรรมประกอบด้วยความพร้อม
ด้านของจีนทำให้จีนมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจในอัตราที่สูงและต่อเนื่อง โดยอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนเฉลี่ยอยู่ในระดับ 9.4% ในช่วง 25 ปีที่ผ่านมา โดยปัจจุบันขนาดเศรษฐกิจของจีนมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลกรองจากสหรัฐ ญี่ปุ่น และเยอรมนี
จีนไม่เพียงเป็นผู้นำด้านการผลิตของโลกเท่านั้น แต่ในภาคบริการจึงเป็นหนึ่งในผู้นำของโลกเช่นเดียวกัน โดยปัจจุบันธนาคาร Industrial and commercial Bank of Chaina(ICBC) ซึ่งเป็นธนาคารที่ใหญ่ที่สุดของจีน ก็มีขนาดใหญ่ตามมูลค่าทางการตลาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากซิตี้แบงก์ เท่านั้น
ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าในปี 2007 นี้เศรษฐกิจของจีนจะเติบโตเฉลี่ย 11.5% และจะขยายตัวในระดับ 10.0% ,9.3% ,8.4% ,8.3% และ 8.3% ในปี 2008 ,2009 ,2010 ,2011 และ 2012 ตามลำดับ
"จีนมีเครื่องจักรในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของตัวเองครบครันทั้งการลงทุน การบริโภค การส่งออก และการใช้จ่ายของรัฐบาล ปัจจุบันชายฝั่งตะวันออกของจีนได้รับการพัฒนาแล้ว ซึ่งโครงการระยะยาวของรัฐบาลจีนคือ ขยายการพัฒนาเข้าไปทางภาคกลางและฝั่งตะวันตกของประเทศ ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจจีนสามารถที่จะขับเคลื่อนต่อไปได้ในระยะยาว เฉพาะเงินทุนสำรองของประเทศจีนที่มีอยู่นำมาลงทุนก็สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไปได้อีกมากทีเดียว"
@ศักยภาพของ BRIC
สำหรับกลุ่มประเทศ BRIC นั้นมาริษบอกว่า เป็นกลุ่มเศรษฐกิจที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจสูง และจะก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจของโลกในอนาคต เป็นแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์เป็นทั้งศูนย์กลางการผลิตและฐานการบริโภคสินค้าและบริการที่สำคัญของโลก ฐานจำนวนประชากรมีขนาดใหญ่โดยเฉพาะการขยายตัวของกลุ่มชนชั้นกลาง โดยจำนวนประชากรของกลุ่มประเทศ BRIC มีประมาณ 2,700 ล้านคน จากจำนวนประชากรโลกที่มีอยู่ 6,400 ล้านคน หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 43% ของประชากรโลกทั้งหมด
โดยในอีก 3 ปีข้างหน้าคาดว่าจำนวนประชากรกลุ่มชนชั้นกลางของประเทศกลุ่ม BRIC ที่มีรายได้ต่อคนประมาณ 3,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี(102,000 บาทต่อปี) จะมีจำนวนสูงถึง 500 ล้านคน เพิ่มขึ้นอีก 2 เท่าจากปัจจุบัน และอาจเพิ่มขึ้นเป็น 800 ล้านคน ภายในปี 2558 ซึ่งการขยายตัวของกลุ่มชนชั้นกลางนี้จะเป็นแรงผลักดันการบริโภคสินค้าและบริการอย่างมหาศาลให้ประเทศในกลุ่ม BRIC ได้
"ปัจจุบันประเทศในกลุ่ม BRIC มีประชากรประมาณ 43% ของประชากรโลก มีขนาดเศรษฐกิจของกลุ่มคิดเป็น 9% ของเศรษฐกิจโลก แต่ในเชิงมูลค่าตลาดรวมของประเทศในกลุ่ม BRIC มีสัดส่วนเพียง 4% ของมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดของโลกเท่านั้น จากข้อมูลของมอร์แกน สแตนเลย์พบว่ามูลค่าตลาดหุ้นในกลุ่ม BRIC คิดเป็นสัดส่วนเพียง 25% เมื่อเทียบกับขนาดเศรษฐกิจของกลุ่ม BRIC ในขณะที่สหรัฐมีสัดส่วนมูลค่ารวมของตลาดหุ้น 81% เมื่อเทียบกับจีดีพี แสดงให้เห็นว่าตลาดหุ้นของประเทศในกลุ่ม BRIC ยังมีโอกาสเติบโตสูงทั้งจากบริษัทใหม่ๆ ที่จะเข้ามาจดทะเบียนและการปรับเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นในอนาคต"
@ตลาดหุ้นสัมพันธ์กับตลาดที่พัฒนาแล้วต่ำ
นอกจากนี้ มาริษ ย้ำว่า ตลาดหุ้นในกลุ่ม BRIC ยังมีความเป็นอิสระต่อกันค่อนข้างสูง เนื่องจากแต่ละประเทศมีจุดเด่นทางด้านเศรษฐกิจที่ต่างกัน โดยตลาดหุ้นจีนมีค่าสหสัมพันธ์(Correlation)กับตลาดหุ้นรัสเซียเพียง 0.4 มีความสัมพันธ์กับอินเดีย 0.5 และมีความสัมพันธ์กับบราซิล 0.3 ในขณะที่ตลาดหุ้นรัสเซียมีค่าสหสัมพันธ์กับตลาดหุ้นอินเดีย 0.3 และมีความสัมพันธ์กับตลาดหุ้นบราซิล 0.4 ส่วนตลาดหุ้นอินเดียมีค่าสหสัมพันธ์กับตลาดหุ้นบราซิล 0.3
จากข้อมูลดังกล่าวจะเห็นว่าความสัมพันธ์ของตลาดหุ้นในกลุ่ม BRIC ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา มีค่าสหสัมพันธ์ระหว่างกัน 0.3-0.5 ซึ่งถือว่าต่ำมาก นอกจากนี้ ตลาดหุ้นในกลุ่ม BRIC กับตลาดสหรัฐ(S&P 500) หรือตลาดเกิดใหม่อื่นๆ ก็ยังอยู่ในระดับต่ำเพียง 0.46-0.55 เท่านั้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น