วันอาทิตย์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

แนว PA 704 นโยบายด้านภาษีแบบรัฐสวัสดิการของ อ.พิจิตรา

จากคำถามที่ว่า  จะเลือกอยู่ในสังคมแบบใด ? ระหว่างเสรีนิยมที่จัดเก็บภาษีน้อยแต่ต้องดูแลตัวเอง  กับสังคมนิยมรัฐสวัสดิการ  ที่จัดเก็บภาษีมากแต่รัฐช่วยดูแล    ดังนั้นจึงได้ทำการเปรียบเทียบวิธีการเก็บภาษีระหว่าง 2 แนวคิดดังกล่าวคือ แนวเสรีนิยม และแนวสังคมนิยมประชาธิปไตย (หรือแนวรัฐสวัสดิการ) และยกตัวอย่างประกอบ  เพื่อเป็นการสนับสนุนคำตอบ ดังจะได้อธิบายต่อไปนี้
ความหมายของภาษีอากร

1.                  สิ่งที่รัฐบาลบังคับจัดเก็บจากราษฎรและนำไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนรวม โดยมิได้มีสิงตอบแทนโดยตรงแก่ผู้เสียภาษีอากร
2.                  เงินได้หรือทรัพยากรทีเคลื่อนย้ายจากภาคเอกชนไปสู่ภาครัฐบาล แต่ไม่รวมถึงการกู้ยืมเงินหรือการขายสินค้า

วัตถุประสงค์ในการจัดเก็บภาษีอากร
1.                  เป็นรายได้ของรัฐบาลเพื่อให้พอกับค่าใช้จ่ายของรัฐบาล
2.                  เป็นเครื่องมือสำคัญของรัฐบาลในการกระจ่ายรายได้
3.                  ส่งเสริมความเจริญเติบโตธุรกิจการค้า
4.                  รักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ
5.                  ช่วยควบคุมการบริโภคของประชาชน
ลักษณะของภาษีอากรที่ดี
1.                  มีความเป็นธรรม
2.                  มีความแน่นอน ชัดเจน
3.                  มีความสะดวก
4.                  มีประสิทธิภาพและประหยัด
5.                  มีความเป็นกลางทางเศรษฐกิจ
6.                  อำนวยรายได้
7.                  มีความยืดหยุ่น
ระบบการเก็บภาษี   เป็นแนวทางหนึ่งที่มนุษย์ออกแบบมา เพื่อสร้างความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นในสังคม ภาษีสามารถช่วยลดความเหลื่อมล้ำระหว่างชนชั้นทางสังคมได้ นอกจากนี้รายได้จากภาษียังสามารถนำมาสร้างประโยชน์สาธารณะได้ในหลายประการ ในรูปแบบของสวัสดิการสังคมต่างๆ แต่ทั้งนี้สังคมแต่ละแห่งก็มีโครงสร้างภาษีที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นกับแนวคิดที่แต่ละสังคมยึดถือเป็นแนวทางในการเก็บภาษี


การเก็บภาษีของ 2 แนวคิด  
เนื่องจากวิธีการเก็บภาษีของแนวคิดต่างๆ นั้น มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันกับท่าทีที่มีต่อระบบสวัสดิการด้วย เช่น ถ้ารัฐใดให้ความสำคัญกับระบบสวัสดิการสูง การเก็บภาษีเงินได้ก็จะมีสูงตามไปด้วย ขณะที่ถ้าเป็นรัฐที่ไม่ให้ความสำคัญกับระบบสวัสดิการมากนัก การเก็บภาษีเงินได้ก็จะมีความเข้มงวดน้อยกว่ารัฐที่เน้นสวัสดิการ ด้วยเหตุนี้ในการพิจารณาท่าทีของแนวคิดต่างๆที่มีต่อการเก็บภาษี เราจึงควรพิจารณาจากมุมมอง หรือท่าทีของแนวคิดนั้นๆที่มีต่อระบบสวัสดิการด้วยนั่นเอง
แนวคิดเสรีนิยมที่มีต่อระบบสวัสดิการ
แนวคิดหลักของแนวเสรีนิยมนั้นเน้นที่ความเป็นปัจเจกบุคคลเป็นหลัก และมีฐานคติว่าคนนั้นมีความสามารถ มีสิทธิในการแสวงหา และครอบครองทรัพย์สิน/ผลประโยชน์จากการทำงานของแต่ละคน และจุดเน้นสำคัญของแนวเสรีนิยมก็คือ การให้ความสำคัญกับตลาดเสรี โดยเชื่อว่าระบบตลาดนั้น จะสามารถทำการจัดสรรทรัพยากรต่างๆ ให้กับบุคคลได้เป็นอย่างดี โดยที่รัฐไม่จำเป็นต้องเข้ามาแทรกแซง
ดังที่ได้กล่าวไปว่า แนวเสรีนิยมนั้นให้ความสำคัญกับความเป็นปัจเจกบุคคล และตลาดเสรี ดังนั้นท่าทีที่แนวเสรีนิยมจะมีต่อระบบสวัสดิการก็คือ รัฐนั้นไม่จำเป็นต้องจัดสวัสดิการให้กับบุคคล เพราะว่าบุคคลแต่ละคนนั้นมีสิทธิในการแสวงหาสิ่งที่ตนต้องการได้อย่างดีอยู่แล้วนั่นเอง
รัฐที่ยึดถือแนวเสรีนิยมในการบริหารระบบเศรษฐกิจจึงมีท่าทีต่อการเก็บภาษี โดยเฉพาะภาษีเงินได้ในลักษณะที่ไม่เข้มงวดมากนัก และเห็นว่าควรจะเก็บภาษีให้น้อยลง เพื่อให้เกิดผลกำไรของปัจเจกบุคคลได้อย่างสูงที่สุดนั่นเอง
แนวสังคมนิยมประชาธิปไตย (แนวรัฐสวัสดิการ)
แนวรัฐสวัสดิการนั้นให้ความสำคัญกับรัฐมากกว่าแนวเสรีนิยม โดยมองว่าแม้รัฐจะใช้กลไกตลาดในการบริหารระบบเศรษฐกิจ แต่รัฐก็ยังมีความสำคัญ และควรมีบทบาทในการเข้าแทรกแซง เพื่อทำหน้าที่จัดสรรทรัพยากรให้เกิดความเป็นธรรมในสังคมมากขึ้น เพื่อลดช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนให้น้อยลง โดยวิธีการที่รัฐจัดให้มีสวัสดิการแก่ประชาชนอย่างเท่าเทียมกัน และทั่วถึงครอบคลุมสวัสดิการในด้านต่างๆ เช่น การมีงานทำ, การมีที่อยู่อาศัย, การรักษาพยาบาล, การจัดการศึกษา ฯลฯ
กล่าวโดยสรุป  ข้าพเจ้าจะเลือกอยู่ในสังคมรัฐสวัสดิการ  เพราะว่า  บทบาทรัฐในการจัดสวัสดิการเพื่อสร้างความเป็นธรรม และลดความเหลื่อมล้ำระหว่างผู้คนในสังคม เป็นหลัก ดังนั้น ถึงแม้ของแนวรัฐสวัสดิการที่มีต่อการเก็บภาษีจึงเป็นลักษณะที่มีความเข้มงวดมาก โดยเฉพาะการเก็บภาษีเงินได้ในอัตราก้าวหน้า   ซึ่งก็เพื่อเป็นการลดช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจน อีกทั้งยังนำรายได้จากภาษีมาจัดสวัสดิการให้กับคนทุกคนอย่างทั่วถึง และเท่าเทียมกันอีกด้วย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น