วันอาทิตย์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2554

จรรยาบรรณของการวิจัย

จรรยาบรรณของการวิจัย
จรรยา แปลว่า  ความประพฤติ กิริยาที่ควรประพฤติในหมู่คณะ  บรรณ แปลว่า  ข้อความ หนังสือ สิ่งที่ประมวลเข้าไว้ด้วยกันเป็นหมวดหมู่  จรรยาบรรณ  แปลว่า  ข้อกำหนดที่ควรประพฤติ  [1][14]
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 254 จรรยาบรรณ หมายถึง ประมวลความประพฤติที่ผู้ประกอบ อาชีพการงานแต่ละอย่างกำหนดขึ้น เพื่อรักษาและส่งเสริมเกียรติคุณชื่อเสียงและฐานะของสมาชิก อาจเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรหรือไม่ก็ได้ [2][15]
ส่วนสมภพ ชีวรัฐพัฒน์ ให้ความหมายของจรรยาบรรณว่า  จรรยาบรรณ คือ ข้อกำหนดหรือระเบียบข้อบังคับสำหรับบุคคลในแต่ละอาชีพพึงปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เพื่อชื่อเสียง เกียรติ และคุณธรรมของสมาชิก และของสถาบันแห่งอาชีพนั้นๆ เพื่อประโยชน์แก่ตนเองและสังคม [3][16]
รองศาตราจารย์สุชาตา  ชินะจิตร ได้อธิบายความหมายของจรรยาบรรณว่า เป็นหลักควบคุมความประพฤติ  เป็นเรื่องที่ควรทำหรือไม่ควรทำในวิชาชีพ เป็นประมวลความประพฤติที่ประกอบอาชีพการทำงานกำหนดขึ้น เพื่อรักษาและส่งเสริมเกียรติคุณ ชื่อเสียง และฐานะของสมาชิกในวงวิชาชีพ [4][17]
พรศักดิ์ ผ่องแผ้ว ได้ให้ความหมายของจรรยาบรรณไว้ในหนังสือศาสตร์แห่งการวิจัยทางการเมืองและสังคมไว้ว่า   หลักความประพฤติอันเหมาะสมแสดงถึงคุณธรรมและจริยธรรมในการประกอบอาชีพ  ที่กลุ่มบุคคลแต่ละสาขาวิชาชะประมวลขึ้นไว้เป็นหลัก  เพื่อให้สมาชิกในสาขาวิชาชีพนั้นๆยึดถือปฏิบัติ เพื่อรักษาชื่อเสียงและส่งเสริมเกียรติคุณของสาขาวิชาชีพของต[5][18]
                จะเห็นได้ว่า  ความหมายของจรรยาบรรณจากทั้งพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 และจากนิยามของบุคคลต่างๆที่ได้กล่าวมาข้างต้น  ล้วนแต่มีความหมายที่ใกล้เคียงกันเป็นอย่างมาก  ซึ่งจรรยาบรรณก็เป็นหลักพื้นฐานในการควบคุมความประพฤติของผู้ที่อยู่ในสังกัดงานต่างๆ ให้เป็นข้อยึดเหนี่ยวให้เราได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามที่ได้กำหนดไว้  เมื่อเราสามารถปฏิบัติได้ตามจรรยาบรรณที่ได้กำหนดก็ถือว่า  เราเป็นคนที่ปฏิบัติงานได้อย่างมีจรรยาบรรณ
จรรยาบรรณวิชาชีพ ( Professional code of ethics )
สรุปแล้วจรรยาบรรณในการทำวิจัย
 เป็นหลักประพฤติ  ปฏิบัติ ที่กำหนดขึ้นเพื่อให้ผู้ที่ทำงานวิจัยให้ได้ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด  ซึ่งจะเห็นว่า  จรรยาบรรณหลักของนักวิจัย 9 ประการของสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ  ล้วนแล้วแต่ข้อกำหนดที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากสำหรับตัวผู้ทำวิจัย  โดยที่ข้อกำหนดทั้ง 9 ข้อมีความครอบคลุมทั้งตัวผู้วิจัยและผู้ที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นคนและสัตว์ที่มักจะถูกมาใช้ในการวิจัยอยู่เสมอๆ  เมื่อนักวิจัยกระทำผิดหรือละเว้นข้อกำหนดในข้อใดแล้ว  ก็ถือว่านักวิจัยคนนั้นไม่มีจรรยาบรรณในการทำวิจัย  ซึ่งจะทำให้ผลงานการวิจัยอาจจะไม่มีความยุติธรรม  เที่ยงตรง  ข้อมูลในการวิจัยอาจจะไม่มีความน่าเชื่อถือและอาจจะไม่ได้รับความไว้วางใจจากบุคคลทั่วไป
ฉะนั้นจึงทำให้ต้องมีการกำหนดจริยธรรมและจรรยาบรรณของการวิจัย  จริยธรรมและจรรยาบรรณของนักวิจัย  จริยธรรมและจรรยาบรรณของผลงานวิจัย  ก็เพื่อให้ผลงานวิจัยออกมาเป็นงานวิจัยที่ดีมีคุณภาพ  สามารถนำมาเผยแพร่เพื่อเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นได้  โดยที่สามารถนำมาอ้างอิงได้อย่างถูกต้องไม่มีปัญหาในเรื่องของข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง  อีกทั้งยังทำให้นักวิจัย  เป็นคนที่มีคุณภาพและมีคุณสมบัติที่ดี  เหมาะสมกับเป็นผู้ที่คอยผลิตผลงานและข้อมูลที่มีความเป็นกลางออกสู่สาธารณะชนได้อย่างเต็มความสามารถ  และมีประสิทธิภาพ
วัตถุประสงค์
การป้องกันอันตรายทั้งทางร่างกายและจิตวิทยาจะต้องไม่ฝ่าฝืนกฎ  ซึ่งทำให้เชื่อมั่นว่า ผลลัทธ์ของการวิจัยมีเพียงพอ  และมีหลักฐานจากสิ่งที่ค้นพบอย่างเหมาะสม  ข้อสรุปและการแนะนำจะต้องเป็นปัจจุบัน
คำเตือน
สิ่งที่ทำให้เงินสนับสนุนจากภาครัฐและเอกชนโยกย้ายนั้น ขึ้นอยู่กับการพิจารณาความประพฤติว่ามีจรรยาบรรณในหรือไม่ก่อนทำวิจัย  โดยมีการตั้งคณะกรรมการปกป้องมนุษย์ในการเสนอธุรกิจจากมนุษย์  จะทำให้แน่ใจว่ามนุษย์จะทำถูกกฎ  โดยมีแนวทางสำหรับวิจัยจากการใช้สัตว์
ข้อดี
ผู้สนับสนุนการวิจัยจะไม่ผิด
ถ้ามีการปฏิบัติจรรยาบรรณในการวิจัย  ก็จะได้รับเงินทุนจากภาครัฐหรือเอกชนอย่างง่ายดาย
การวิจัยจะต้องพบกับคณะกรรมการจัดตั้งแนวทางปฏิบัติสำหรับจรรยาบรรณ
จะยกระดับชื่อเสียงของนักวิจัย
ข้อเสีย
ใช้เวลามากในการให้ความเห็นชอบและมีรูปและที่เหมาะสมอย่างสมบูรณ์
บางครั้งผู้เห็นชอบไม่ได้มีส่วนร่วมในการทำวิจัย 
จรรยาบรรณของนักวิจัยในการใช้สัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์
ในการใช้สัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์  นักวิจัยต้องพิจารณาแล้วว่าไม่มีวิธีใดเหมาะสมเท่าหรือเหมาะสมกว่าจรรยาบรรณการใช้สัตว์ทดลองตามประกาศของสภาวิจัยแห่งชาติมีประเด็นสำคัญโดยสรุป 5 ประการดังต่อไปนี้ [6][23]
ผู้ใช้สัตว์ต้องตระหนักถึงคุณค่าชีวิตของสัตว์
ผู้ใช้สัตว์ต้องตระหนักถึงความแม่นยำของผลงานโดยใช้สัตว์จำนวนน้อยที่สุด
การใช้สัตว์ป่าต้องไม่ขัดต่อกฎหมายและนโยบายการอนุรักษ์สัตว์ป่า
ผู้ใช้สัตว์ต้องตระหนักว่าสัตว์เป็นสิ่งมีชีวิตเช่นเดียวกับมนุษย์
ผู้ใช้สัตว์ต้องบันทึกข้อมูลการปฏิบัติต่อสัตว์ไว้เป็นหลักฐานอย่างครบถ้วน
ตัวอย่างปัญหาจรรยาบรรณ  
หนังสือ ศาสตร์แห่งการวิจัยทางการเมืองและสังคม ของพรศักดิ์  ผ่องแผ้ว ได้พูดถึงตัวอย่างปัญหาจรรยาบรรณ 7 ประการ ที่นักวิจัยทางสังคมศาสตร์และการเมืองมักจะเผชิญ  ไว้ดังนี้คือ [7][24]
การหลอกลวงในการวิจัยทั้งทางตรงและทางอ้อม
การกระทำการต่อหน่วยศึกษาวิจัยให้ได้รับอันตรายทั้งทางร่างกายและจิตใจ
การเปิดเผยความลับส่วนบุคคล
การละเมิดสิทธิส่วนบุคคล
การแทรกแซงของรัฐและสังคม
การละเมิดคุณธรรมทางวิชาการ
การใช้ผลการวิจัยสนับสนุนกรณีต่างๆทางการเมืองและสังคม
ตัวอย่างของพฤติกรรมที่นักวิจัยกระทำผิดจรรยาบรรณ 
ในหนังสือคุณสมบัติและจรรยาบรรณของนักวิจัยของจิตราภา กุณฑลบุตร ได้เขียนถึงตัวอย่างของพฤติกรรมที่นักวิจัยกระทำผิดจรรยาบรรณที่มักพบบ่อยๆไม่ว่าจะมาจากสาเหตุอะไรก็ตามมีดังต่อไปนี้ [8][25]
1. การเลียนแบบชื่อเรื่องวิจัย โดยเปลี่ยนสถานที่เก็บข้อมูลหรือเปลี่ยนกลุ่มตัวอย่างของการเก็บข้อมูล  มีหลายโครงการที่มีการทำวิจัยลักษณะนี้ ส่งผลให้การเขียนรายงานวิจัยมีความคล้ายคลึงจนดูเสมือนว่าลอกเลียนกัน โดยอาจมีการปรับข้อความบางข้อความเพียงเล็กน้อยในสาระต่อไปนี้ ความสำคัญและความเป็นมา วรรณกรรมที่เกี่ยวข้องและวิธีดำเนินการวิจัย บางครั้งก็มีกรอบความคิดที่เหมือนกัน โดยไม่มีการแจ้วถึงที่มาของกรอบความคิดนั้น
2. การนำข้อมูลต่างๆมานำเสนอในรายงานวิจัย  โดยมิได้อ้างอิงแหล่งข้อมูล ทั้งข้อมูลจากเอกสารรายงาน บทความ สื่ออิเลคทรอนิคส์หรือการสัมภาษณ์ โดยเฉพาะข้อมูลที่มาจากแหล่งทุติยภูมิที่เป็นข้อมูลจากเอกสาร หนังสือหรือวารสารต่างประเทศ
3. การขอทุนวิจัยซ้ำซ้อนจากแหล่งทุนมากกว่าหนึ่งแหล่งทุน โดยมิได้แจ้งให้แต่ละแหล่งทุนทราบว่ากำลังขอทุนจากแหล่งทุนอื่น หรือเสนอจอรับทุนในแต่ละแหล่งด้วยประเด็นหรือกิจกรรมอะไร ไม่มีการอธิบายให้ชัดเจนว่าการได้รับทุนการวิจัยแต่ละแหล่งจะหนุนเสริมกันอย่างไร ให้การทำงานวิจัยโครงการนั้นๆให้มีความสมบูรณ์  สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้มากกว่าการขอทุนจากแหล่งทุนเดียว
4. การนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ในการขอตำแหน่งทางวิชาการ หรือเพื่อประโยชน์ทางธุรกิจโดยบุคคลที่มีส่วนร่วมในการทำงานวิจัยมิได้รับทราบหรือให้ความยินยอมหรือการที่นักวิจัยสองคน นำผลงานชิ้นเดียวกันไปขอตำแหน่งทางวิชาการต่างคนต่างวาระ โดยที่สองฝ่ายลงรามรับรองให้กันและกัน
5.  การไม่ทุ่มเทความรู้ ความสามารถและเวลาให้กับการทำวิจัยเต็มที่  นักวิจัยมักอ้างว่ามีภาระงานอื่นมาก  บางครั้งไปเร่งรัดดำเนินการเมื่อใกล้ถึงเวลาส่งงาน  หรือจ้างวานบุคคลอื่นทำ  โดยมิได้ตรวจสอบผลการดำเนินงานแล้วใส่ชื่อตนเองรับผิดชอบ
6. การเบี่ยงเบนผลการวิจัยโดยหวังจะให้ข้อค้นพบจากงานวิจัย ตอบรับสมมุติฐานที่ตั้งไว้หรือหวังประโยชน์ส่วนตน
7.    การทำหลักฐานการเงินคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง
8. การนำผลงานวิทยานิพนธ์ของนักศึกษาไปใช้ประโยชน์ เช่นนำไปปรับเป็นข้อเสนอโครงการวิจัยใหม่ นำไปตีพิมพ์หรือนำไปอ้างอิงโดนมีระบุชื่อเจ้าของงาน
9. การนำผลงานวิจัยไปลงพิมพ์ในวารสารหลายฉบับ โดยปรับปรุงเพียงเล็กน้อย แต่สาระสำคัญเหมือนกัน
10. การส่งรายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์  โดยไม่ได้ปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอของผู้อ่านหรือผู้ทรงคุณวุฒิที่ตรวจผลงาน  และมิได้แจ้งเหตุผลของการมิได้ปรับปรุงแก้ไข


[1][14] พิภพ  วชังเงิน.  (2545 ).  เล่มเดิม.  หน้า 13
[2][15] พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542.  หน้า  289
[3][16] พิภพ  วชังเงิน.  (2545 ).  เล่มเดิม.  หน้า 14
[4][17] จิตราภา กุณฑลบุตร.  ( 2550 ).  หน้าเดิม
[5][18] พรศักดิ์  ผ่องแผ้ว.  (2545).  หน้าเดิม
[6][23] จิตราภา กุณฑลบุตร.  ( 2550 ).  เล่มเดิม.  หน้า 42
[7][24] พรศักดิ์  ผ่องแผ้ว.  (2545).  เล่มเดิม.  หน้า 697
[8][25] จิตราภา กุณฑลบุตร.  ( 2550 ).  เล่มเดิม.  หน้า 43

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น